Digital Transformation ใน Supply Chain เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนเกม
- Phannita Yoddamnoen
- 11 ส.ค.
- ยาว 3 นาที

ในยุคที่เทคโนโลยีในซัพพลายเชนและซัพพลายเชนดิจิทัล เข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกภาคส่วนของธุรกิจอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนผ่านดิจิทัลซัพพลายเชน หรือ Digital Transformation ใน SCM จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้องค์กรเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างแม่นยำมากขึ้น บทความนี้จะพาไปรู้จักกับความหมายและประโยชน์ของนวัตกรรมซัพพลายเชน ผ่านการทำ Digital Transformation พร้อมตัวอย่างเทคโนโลยีหลักที่เหมาะกับธุรกิจแต่ละประเภท
นอกจากนี้ เรายังจะเจาะลึก 5 ขั้นตอนสำคัญของการเปลี่ยนผ่านดิจิทัล ตั้งแต่การประเมินระบบ วางกลยุทธ์ ลงมือทำ ติดตามผลลัพธ์ จนถึงการพัฒนาต่อเนื่อง เพื่อให้ธุรกิจของคุณพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงอย่างเต็มที่ และยกตัวอย่างจริงขององค์กรที่ประสบความสำเร็จในการนำเทคโนโลยีในซัพพลายเชนมาปรับใช้ในห่วงโซ่อุปทาน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและแนวทางปฏิบัติที่เป็นประโยชน์สำหรับธุรกิจยุคใหม่
Digital Transformation คืออะไร
การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) คือ กลยุทธ์ทางธุรกิจที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในองค์กร โดยมีการประเมินและปรับปรุงกระบวนการดำเนินงาน ผลิตภัณฑ์ รวมถึงนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีที่ใช้อยู่ในองค์กร
การดำเนินงานด้าน Digital Transformation ของแต่ละองค์กรจะแตกต่างกัน บางองค์กรอาจเริ่มจากโครงการเทคโนโลยีเฉพาะบางแผนก หรือบางธุรกิจอาจขยายสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งองค์กร โดยอาจเริ่มจากการผสานเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับกระบวนการและผลิตภัณฑ์เดิมของตัวเอง หรือสร้างสรรค์กระบวนการและผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมไปถึงการสร้างรายได้ใหม่จากเทคโนโลยีที่กำลังเกิดขึ้น
ในโลกธุรกิจที่การแข่งขันรุนแรงและเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว องค์กรจำนวนมากจึงเลือกใช้แนวคิด Digital Transformation เป็นแนวคิดสำคัญในการ “ปรับตัว / แข่งขัน / เติบโต” เพื่อรักษาความได้เปรียบให้ธุรกิจของตนเองให้สามารถอยู่ได้ในระยะยาว
ถ้ามองในมุม Supply Chain Digital Transformation คือ กระบวนการที่องค์กรนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาปรับใช้ เพื่อออกแบบระบบซัพพลายเชนในธุรกิจ โดยเริ่มตั้งแต่การวางแผนการจัดซื้อ การจัดเก็บ การผลิต การจัดสั่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างความคล่องตัวมากขึ้น เพื่อให้องค์กรสามารถควบคุมกระบวนการทั้งหมดได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ภายใต้แนวคิด “Digital Supply Chain”
เมื่อพูดถึงดิจิทัล ก็จะมีความเชื่อมโยงไปกับ “Data” ที่หลายองค์กรให้ความสนใจในการใช้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ อาจรวมถึงการใช้ IoT (Internet of Thing) เพื่อติดตามสินค้าคงคลังแบบเรียลไทม์ ไปจนถึงการนำ AI และ Machine Learning มาช่วยในการทำงานที่ซ้ำซ้อน หรือแม้กระทั่งการใช้หลักการ Data Analytics เพื่อคาดการ์ณความต้องการของตลาดสำหรับกระบวนการผลิต
4 Digital Transformation สำหรับซัพพลายเชน
การนำนวัตกรรมซัพพลายเชนมาใช้ในยุคปัจจุบัน ถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำ Digital Transformation ในการจัดการห่วงโซ่อุปทาน (SCM) และเป็นหนึ่งในประโยชน์ของ SCM ที่ช่วยยกระดับการดำเนินงาน เทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง AI, IoT, Blockchain และ Big Data ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การติดตามแบบเรียลไทม์ และความปลอดภัยของข้อมูล ตลอดจนสร้างการตัดสินใจที่แม่นยำและรวดเร็วให้กับองค์กร
การผสานเทคโนโลยีเหล่านี้ในระบบซัพพลายเชนช่วยเปิดโอกาสใหม่ ๆ ในการปรับปรุงกระบวนการ ลดต้นทุน และตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิผล ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความสำเร็จในยุคดิจิทัล
AI (ปัญญาประดิษฐ์)
AI (ปัญญาประดิษฐ์) คือ เทคโนโลยีที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์ "คิด วิเคราะห์ และตัดสินใจ" ได้ใกล้เคียงกับมนุษย์ โดยสำหรับระบบจัดการซัพพลายเชน AI จะเข้ามาช่วยเพิ่มความแม่นยำ, ลดต้นทุน, และตัดสินใจได้เร็วขึ้นของกระบวนการในห่วงโซ่อุปทาน
ประโยชน์ของ AI ในซัพพลายเชน
คาดคะเนความต้องการสินค้า (Demand Forecasting) AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และซับซ้อนจากข้อมูลในอดีตและปัจจุบัน เช่น ข้อมูลการขาย, พฤติกรรมผู้บริโภค และเทรนด์ตลาด เพื่อคาดการ์ณความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ เพื่อลดปัญหาสินค้าล้นสต็อกหรือสินค้าขาดตลาด
การจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory Optimization) AI สามารถวิเคราะห์ปริมาณสต็อกที่ควรจัดเก็บอย่างเหมาะสม เพื่อลดต้นทุนในการจัดเก็บและลดของเสียของสินค้าค้างสต็อก ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ผู้ประกอบก็ลดปัญหาทุนจมจากการสั่งสินค้ามาตุนเกินความจำเป็น
วางแผนโลจิสติกส์และขนส่ง (Logistics and Transportation Optimization) AI สามารถวางแผนเส้นทางการขนส่งที่ประหยัดเวลาและพลังงานมากที่สุด ติดตามสถานะการจัดส่งแบบเรียลไทม์ และช่วยแก้ปัญหาที่เกิดระหว่างการขนส่งที่ไม่คาดคิด
การตรวจจับความเสี่ยงและการแก้ปัญหาเชิงรุก (Risk Prediction & Mitigation) AI วิเคราะห์ข้อมูลจากซัพพลายเออร์, ข่าวสาร, เหตุการณ์ทางการเมือง เพื่อแจ้งเตือนล่วงหน้าหากมีความเสี่ยงในห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ผูัประกอบการสามารถวางแผนสำรองหรือหาทางแก้ไขได้
Automation & Chatbots ใช้ AI สร้างระบบอัตโนมัติ เช่น การออกใบสั่งซื้อ, ตอบคำถามลูกค้า, ตรวจสถานะคำสั่งซื้อ หรือ Chatbots ตอบคำถามซัพพลายเออร์หรือลูกค้า โดยไม่ต้องรอเจ้าหน้าที่ โดยจะเป็นการช่วยลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน
IoT (Internet of Thing)
IoT (Internet of Things) ใน SCM (Supply Chain Management) คือ การนำอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตและสื่อสารข้อมูลได้ เช่น เซนเซอร์, GPS หรือ RFID มาใช้ในระบบจัดการห่วงโซ่อุปทาน เพื่อเก็บและส่งข้อมูลแบบเรียลไทม์ ช่วยให้กระบวนการจัดการซัพพลายเชนตอบสนองได้รวดเร็วมากขึ้น และทำให้พนักงานรับข้อมูลได้ทันที เพื่อใช้ตรวจสอบกระบวนการทำงานของเครื่องจักรที่อยู่ในระบบ SCM
ประโยชน์ของ IoT ในซัพพลายเชน
ติดตามสินค้าแบบเรียลไทม์ (Real-time Tracking) อุปกรณ์ IoT (เช่น GPS tracker, RFID tags) สามารถระบุตำแหน่งของสินค้า ยานพาหนะ หรือแม้แต่ตู้คอนเทนเนอร์ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในคลังสินค้า ระหว่างการขนส่ง หรือที่ใดก็ตาม ช่วยให้รู้สถานะและตำแหน่งที่แน่นอนของสินค้า
ตรวจสอบสภาพสินค้า (Quality Monitoring) เซ็นเซอร์ IoT สามารถตรวจจับปัจจัยต่างๆ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น การสั่นสะเทือน หรือแสงสว่างได้ ช่วยให้มั่นใจว่าสินค้าที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ (เช่น อาหาร ยา) ถูกจัดเก็บและขนส่งในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ป้องกันความเสียหายหรือการเสื่อมสภาพ
บริหารสินค้าคงคลังอัตโนมัติ (Inventory Management) เซนเซอร์ IoT และ RFID tag ในคลังสินค้าสามารถแจ้งระดับสต็อกแบบอัตโนมัติ ลดโอกาสของสินค้าขาดหรือค้างสต็อก จากข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับระดับสินค้าคงคลัง ธุรกิจสามารถสั่งซื้อหรือเติมสต็อกได้ทันเวลา ลดปัญหาสินค้าขาดสต็อก (stockout) ที่ทำให้เสียโอกาสทางธุรกิจ และลดปัญหาสินค้าเกินสต็อก (overstock) ที่ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ
คาดการณ์และซ่อมบำรุงเครื่องจักรล่วงหน้า (Predictive Maintenance) เครื่องจักรในโรงงานที่มีการติดตั้งเซนเซอร์ IoT เพื่อใช้คาดการณ์ว่าเครื่องจักรจะเสียเมื่อไหร่ และซ่อมก่อนเกิดปัญหา ลด Downtime ทำให้สามารถวางแผนการบำรุงรักษาล่วงหน้าได้ ลดการหยุดชะงักของการดำเนินงานและลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมฉุกเฉิน
เพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน (Enhanced Safety) ผ่านการติดตามพนักงานและอุปกรณ์ โดยเฉพาะพนักงานที่ทำงานใกล้เครื่องจักรขนาดใหญ่ จำเป็นต้องมีการติดตั้งเซนเซอร์เอาไว้ตรวจสอบตำแหน่งและสภาพพนักงาน เพื่อแจ้งเตือนเมื่ออยู่ในพื้นที่อันตรายหรือเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
Blockchain
Blockchain คือ สมุดบันทึกดิจิทัลที่แชร์กันในซัพพลายเชน บล็อกเชนเป็นระบบบันทึกข้อมูลธุรกรรมในซัพพลายเชน เช่น การผลิต การขนส่ง หรือการเปลี่ยนเจ้าของสินค้า ข้อมูลจะถูกเก็บใน “บล็อก” ที่เชื่อมต่อกันเป็นลูกโซ่ ทำให้ไม่สามารถแก้ไขย้อนหลังได้ ซึ่งทุกฝ่ายในเครือข่ายนี้ เช่น ผู้ผลิต ซัพพลายเออร์ และผู้ค้าปลีก ก็จะมีมีสำเนาข้อมูลเดียวกัน และการเปลี่ยนแปลงข้อมูลต้องได้รับการยืนยันจากหลายฝ่าย จึงมั่นใจได้ว่าข้อมูลโปร่งใสและปลอดภัย
ประโยชน์ของ Blockchain ในซัพพลายเชน
ความโปร่งใส (Transparency) ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานสามารถเข้าถึงข้อมูลการเคลื่อนไหวของสินค้าแบบเรียลไทม์ เช่น สถานะสินค้า ใครเป็นผู้จัดส่ง และผ่านกระบวนการใดบ้าง ทำให้ทุกคนเห็นข้อมูลเดียวกัน ลดปัญหาข้อมูลไม่ตรงกัน
การตรวจสอบย้อนกลับได้ (Traceability) สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้าและวัตถุดิบอย่างแม่นยำ รวมถึงประวัติการเคลื่อนย้ายสินค้า ช่วยป้องกันสินค้าปลอมและสินค้าที่ไม่ปลอดภัย เมื่อต้องเรียกคืนสินค้าก็ทำได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
ความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยของข้อมูล (Trust and Data Security) ข้อมูลที่บันทึกในบล็อกเชนไม่สามารถแก้ไขหรือลบได้ (immutable) และมีการเข้ารหัสอย่างปลอดภัย ทำให้ป้องกันการปลอมแปลงข้อมูลและลดความจำเป็นในการพึ่งพาคนกลางในการตรวจสอบ
ประสิทธิภาพและประสิทธิผล (Efficiency and Effectiveness) การบันทึกข้อมูลอัตโนมัติบนบล็อกเชนช่วยลดงานเอกสารและขั้นตอนที่ต้องใช้แรงงานคน สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contracts) ทำงานตามเงื่อนไขอัตโนมัติ เช่น จ่ายเงินเมื่อสินค้าถึงปลายทาง ช่วยลดเวลาและข้อผิดพลาด รวมถึงลดข้อพิพาทระหว่างผู้ร่วมธุรกิจ
การจัดการความเสี่ยง (Risk Management) ข้อมูลเรียลไทม์ที่แม่นยำช่วยให้สามารถระบุและตอบสนองต่อความเสี่ยงต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น เช่น ความล่าช้าในการจัดส่ง หรือปัญหาคุณภาพสินค้า
Big Data
การใช้ Big Data ในการจัดการซัพพลายเชน (SCM) การนำ Big Data มาช่วยรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากทุกขั้นตอนในห่วงโซ่อุปทาน เช่น อุปกรณ์ IoT และเซนเซอร์ ทำให้องค์กรเห็นภาพรวม ปรับปรุงกระบวนการ ตัดสินใจแม่นยำ ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ดียิ่งขึ้น
ประโยชน์ของ Big Data ในซัพพลายเชน
พยากรณ์ความต้องการอย่างแม่นยำ (Demand Forecasting) การวิเคราะห์ข้อมูลยอดขายจากหลายช่องทางควบคู่กับข้อมูลตลาดช่วยให้สามารถทำนายยอดสั่งซื้อได้อย่างแม่นยำขึ้น ซึ่งจะช่วยลดปัญหาสินค้าคงคลังล้นเกินหรือสินค้าขาดตลาดที่ส่งผลเสียต่อธุรกิจ
การบริหารคลังสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ Big Data ช่วยวิเคราะห์รูปแบบการเคลื่อนไหวและความต้องการของสินค้าตามแต่ละพื้นที่หรือภูมิภาค ทำให้องค์กรสามารถจัดสต็อกสินค้าได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการจริง ลดค่าใช้จ่ายทั้งด้านการเก็บรักษาและการขนส่งที่ไม่จำเป็น
การตรวจสอบย้อนกลับสินค้า (Traceability) การรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น ระบบ RFID, อุปกรณ์ IoT และเอกสารการขนส่ง ช่วยให้สามารถติดตามที่มาของสินค้าได้อย่างโปร่งใสและแม่นยำ ช่วยป้องกันการปลอมแปลงสินค้าหรือสินค้าที่ปนเปื้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การคัดเลือกซัพพลายเออร์ (Supplier Evaluation) การวิเคราะห์ข้อมูลด้านคุณภาพสินค้า ราคา และเวลาการส่งของจากซัพพลายเออร์หลายราย ช่วยให้องค์กรสามารถเลือกคู่ค้าที่น่าเชื่อถือ มีประสิทธิภาพ และเหมาะสมกับความต้องการทางธุรกิจมากที่สุด
การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ (Strategic Decision Making) Big Data ช่วยให้ผู้บริหารเห็นภาพรวมและแนวโน้มการทำงานของห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด ทำให้สามารถวางแผนล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ เช่น การตัดสินใจเปิดคลังสินค้าใหม่ หรือปรับเปลี่ยนเส้นทางการขนส่งให้มีประสิทธิภาพและประหยัดต้นทุนมากขึ้น

5 ขั้นตอนการทำ Digital Transformation ในซัพพลายเชน มีอะไรบ้าง
การจัดการซัพพลายเชนแบบดิจิทัล (Digital Supply Chain Management) ประกอบด้วยขั้นตอนหลายขั้นที่ต้องอาศัยการวางแผนและการดำเนินงานอย่างรอบคอบ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ แต่ยังหมายถึงการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานและแนวคิดของทั้งองค์กรด้วย
ขั้นตอนที่ 1: การประเมิน (Assessment)
ขั้นตอนแรกของกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลคือ การประเมินสภาพปัจจุบันของการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลในซัพพลายเชน ซึ่งรวมถึงการทำความเข้าใจกระบวนการ เทคโนโลยี และความสามารถที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงการระบุช่องว่างและจุดที่สามารถปรับปรุงได้ ขั้นตอนนี้ยังรวมถึงการทำความเข้าใจวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ และการปรับกลยุทธ์การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์เหล่านั้น
ขั้นตอนที่ 2: การพัฒนากลยุทธ์ (Strategy Development)
เมื่อเสร็จสิ้นการประเมิน ขั้นตอนต่อไปคือการพัฒนากลยุทธ์ซัพพลายเชน ซึ่งรวมถึงการกำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลง การระบุเทคโนโลยีหลักที่จะนำมาใช้ และการวางแผนโรดแมปสำหรับการเปลี่ยนผ่านกลยุทธ์ และแผนงานซัพพลายเชนควรครอบคลุมถึงแผนการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลง และการสร้างการมีส่วนร่วมและความยอมรับจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย
ขั้นตอนที่ 3: การดำเนินการ (Implementation)
ขั้นตอนการดำเนินการคือการนำเทคโนโลยีที่ได้ระบุไว้มาใช้งานจริง และปรับเปลี่ยนกระบวนการที่มีอยู่เดิม ซึ่งอาจรวมถึงการนำระบบซัพพลายเชนดิจิทัลใหม่มาใช้ การผสานอุปกรณ์ IoT เพื่อการติดตามแบบเรียลไทม์ หรือการใช้ AI และ Machine Learning เพื่อการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ ขั้นตอนนี้ยังรวมถึงการฝึกอบรมพนักงานให้เข้าใจและสามารถใช้งานเทคโนโลยีและกระบวนการใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนที่ 4: การติดตามและการปรับปรุง (Monitoring and Optimization)
เมื่อมีการนำเทคโนโลยีและกระบวนการใหม่มาใช้แล้ว สิ่งสำคัญคือการติดตามประสิทธิภาพการทำงานและปรับแก้ให้เหมาะสมตามความจำเป็น ซึ่งอาจรวมถึงการติดตามตัวชี้วัดผลงานหลัก (KPIs) การตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ และการปรับปรุงกระบวนการอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่ดียิ่งขึ้น
ขั้นตอนที่ 5: การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement)
การเปลี่ยนแปลงในซัพพลายเชนไม่ใช่โครงการที่ทำเพียงครั้งเดียว แต่เป็นการเดินทางอย่างต่อเนื่อง สิ่งสำคัญคือการติดตามเทคโนโลยีและแนวโน้มล่าสุดอยู่เสมอ และปรับปรุงกระบวนการซัพพลายเชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน

ตัวอย่าง Digital Transformation Supply Chains
การเปลี่ยนผ่านซัพพลายเชนสู่ดิจิทัล คือกุญแจสำคัญที่ช่วยธุรกิจเพิ่มประสิทธิภาพและตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงใจมากขึ้น และนี่คือตัวอย่างความสำเร็จจากบริษัทชั้นนำที่ใช้ Digital Transformation มาใช้ในการจัดการซัพพลายเชน
Mazda Motor Logistics
Mazda Motor Logistics ซึ่งเป็นผู้จัดจำหน่ายรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ Mazda ในยุโรป ขาดการมองเห็นแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับการขนส่งดังกล่าว ทำให้ยากต่อการรับประกันการจัดส่งตรงเวลา โซลูชันของพวกเขาคือการนำแอปพลิเคชัน Oracle สองรายการมารวมกัน ได้แก่ Oracle Fusion Cloud Warehouse Management สำหรับการขนถ่าย จัดเตรียม และโหลดสินค้า และ Oracle Fusion Cloud Transportation Management สำหรับการจัดการการขนส่งและการวางแผนการบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์
ปัจจุบัน Mazda Motor Logistics สามารถมองเห็นข้อมูลการสั่งซื้อรถยนต์และชิ้นส่วนไปจนถึงการจัดส่ง และพนักงานส่งออกสามารถดูการจองของผู้ขนส่ง การออกใบแจ้งหนี้ และการเรียกเก็บเงินได้ในที่เดียว นอกจากนี้ บริษัทยังได้ตัดสเปรดชีตออกจากกระบวนการทำงาน และด้วยการเพิ่ม Oracle Product Hub บริษัทจึงสามารถจัดการข้อมูลผลิตภัณฑ์หลักทั้งหมดได้จากศูนย์กลาง พร้อมการอนุมัติระหว่างแผนกต่างๆ ในที่สุด ด้วยการทำให้ส่วนต่างๆ ของกระบวนการสั่งซื้อและการจัดส่งเป็นระบบอัตโนมัติ บริษัทจึงสามารถย้ายพนักงานไปทำหน้าที่บริการลูกค้าได้
L'Oréal
ในช่วงสถานการณ์ COVID-19 L’Oréal (ลอรีอัล) บริษัทเครื่องสำอางชั้นนำระดับโลกจากฝรั่งเศส ได้เห็นยอดขายออนไลน์ในประเทศจีนเติบโตอย่างก้าวกระโดด ในขณะที่ภูมิภาคอเมริกาเหนือและยุโรปก็มียอดขายเติบโตรองมาตามลำดับ บ่งบอกว่า ตลาดผู้บริโภคของ L’Oréal กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และ L’Oréal ก็นำการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มาเพิ่มในกลยุทธ์สำคัญของธุรกิจด้วย
ผลลัพธ์คือ L’Oréal ได้เปลี่ยนโฉมหน้าของอุตสาหกรรมความงามด้วยการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลให้ทันสมัย บริษัทได้ดำเนินการดังกล่าวโดยพยายามเชื่อมโยงโลกทางกายภาพ ดิจิทัล และเสมือนจริงเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างสรรค์ "ประสบการณ์ความงามเสมือนจริงในร้านค้า" (Augmented retail beauty experiences)
"ในอุตสาหกรรมที่มีความคิดสร้างสรรค์และพลวัตสูง การนำข้อมูลวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสมการนี้ ถือเป็นวาระสำคัญในเชิงกลยุทธ์ของเรา" นี่คือคำกล่าวของ L'Oréal
Johnson & Johnson
จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (J&J) บริษัทผู้ผลิตยา อุปกรณ์ทางการแพทย์ และผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพสำหรับผู้บริโภครายใหญ่ที่สุดของโลก กำลังก้าวผ่านระบบแบบเดิม ๆ และการพึ่งพาผู้ขายภายนอก เพื่อสร้าง 'Technology Stack' (ชุดเทคโนโลยี) ที่ออกแบบมาเพื่อยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า และแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ไปพร้อมกัน
หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือ แพลตฟอร์ม IoT แบบ Open-Source ที่เป็นแรงขับเคลื่อนนวัตกรรมและความคล่องตัว ทั้งในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการห่วงโซ่อุปทาน สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ J&J สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ดีขึ้นสู่ผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังมอบผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยมแก่ผู้ป่วยอีกด้วย
ด้วยการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลนี้ J&J ประสบความสำเร็จในการลดระยะเวลาการเปิดตัวผลิตภัณฑ์จากเฉลี่ย 35 วัน เหลือเพียง 2 ชั่วโมงเท่านั้น
Heineken Europe
Heineken Europe ได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานทั่วทั้งภูมิภาคยุโรป ซึ่งเป็นภูมิภาคสำคัญที่บริษัทมีหน่วยงานดำเนินงานถึง 25 แห่ง การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่ 4 เป้าหมายหลัก ได้แก่ การลดความซับซ้อนของผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ การใช้ประโยชน์จากเครือข่ายของบริษัทอย่างเต็มที่ การปรับปรุงและสร้างความสอดคล้องในวิธีการทำงาน และการออกแบบการดำเนินงานที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน
ผลลัพธ์จากการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้บริษัทสามารถลดปริมาณขวดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวลงได้ถึง 52% รวมถึงลดปริมาณบรรจุภัณฑ์รองลงได้ครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้ยังเป็นการรวมทีมวางแผนอุปทานและการดำเนินงานจากเดิมที่มีถึง 25 ทีมให้เหลือเพียงทีมเดียว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการตัดสินใจ
ในด้านความยั่งยืน Heineken Europe ยังสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในการผลิตลงได้ถึง 24% เมื่อเทียบกับระดับในปี 2018 ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกมิติของธุรกิจ การทำ Digital Transformation ในซัพพลายเชนจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับองค์กรที่ต้องการความได้เปรียบในการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน หรือสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า การเริ่มต้นเปลี่ยนผ่านดิจิทัลในซัพพลายเชนช่วยให้ธุรกิจพร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ อย่างยืดหยุ่นและรวดเร็ว หากคุณยังไม่เริ่มวันนี้ ก็อาจจะตามคู่แข่งไม่ทัน
ในขณะเดียวกัน การนำ AI, IoT, Blockchain และ Big Data มาใช้ในซัพพลายเชนถือเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำ ลดต้นทุน และเสริมสร้างความโปร่งใสในทุกขั้นตอนการทำงาน การปรับตัวด้วยดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังเปิดโอกาสใหม่ ๆ ในการบริหารจัดการคู่ค้าได้อย่างชาญฉลาด ผ่านแพลตฟอร์มอย่าง Corpus X ที่ช่วยวิเคราะห์และค้นหาคู่ค้าที่มีศักยภาพสูงได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว
นับเป็นการเปลี่ยนเกมของซัพพลายเชนที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม โดยทุกธุรกิจสามารถเริ่มต้นความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ง่าย ๆ ด้วยการทดลองใช้ Corpus X ฟรี เพื่อสัมผัสประสบการณ์บริหารคู่ค้าในยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ นำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาปรับใช้ในซัพพลายเชนของคุณ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต