Supply Chain Management คืออะไร? สำคัญอย่างไรกับธุรกิจยุคใหม่
- Phannita Yoddamnoen
- 6 พ.ค.
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา

เมื่อพูดถึงการทำธุรกิจ หลายคนอาจให้ความสำคัญกับฝ่ายขาย การตลาด หรือกลยุทธ์ทางธุรกิจเป็นอันดับแรก เพราะมองว่าเป็นหัวใจในการสร้างรายได้โดยตรง แต่ขณะเดียวกันก็มีีสิ่งหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันในการทำธุรกิจ และอาจถูกมองข้ามบ่อยครั้ง ก็คือ “การจัดการซัพพลายเชน (Supply Chain Management: SCM)”
SCM เป็นกระบวนการเบื้องหลังที่ช่วยให้สินค้าและบริการสามารถถูกสร้าง ผลิต และส่งมอบถึงมือลูกค้าได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ หากเปรียบเทียบธุรกิจเป็นเครื่องจักร SCM ก็เปรียบได้กับฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้ระบบทั้งหมดขับเคลื่อนไปได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน
หลายคนอาจเข้าใจว่า SCM เป็นเรื่องเฉพาะของธุรกิจค้าปลีก โลจิสติกส์ หรืออุตสาหกรรมอาหาร ที่ต้องจัดการสินค้าคงคลัง วัตถุดิบ หรือระบบขนส่งให้รวดเร็วและมีคุณภาพ แต่ในความเป็นจริง ไม่ว่าคุณจะอยู่ในธุรกิจประเภทใด ซัพพลายเชนก็แทรกตัวอยู่ในกระบวนการของธุรกิจคุณเสมอ
Supply Chain Management คืออะไร
การจัดการโซ่อุปทาน (Supply Chain Management: SCM) คือ กระบวนการวางแผน ประสานงาน และควบคุมทุกขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการส่งมอบสินค้าและบริการขององค์กร ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การจัดเก็บสินค้า การขนส่ง ไปจนถึงการส่งมอบสินค้าหรือบริการให้ถึงมือลูกค้าปลายทางอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ SCM ไม่ได้จำกัดเฉพาะการดำเนินงานภายในองค์กรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการบริหารความสัมพันธ์กับพันธมิตรทางธุรกิจภายนอก เช่น ซัพพลายเออร์ ผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย ร้านค้าปลีก และลูกค้า เพื่อให้กระบวนการทั้งหมดเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบและราบรื่น
สรุปว่า การจัดการโซ่อุปทานเป็นการผสานการบริหารอุปสงค์และอุปทานทั้งภายในและระหว่างองค์กร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในภาพรวมของธุรกิจ
การบริหารจัดการโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพช่วยลดต้นทุน ลดความสูญเปล่า เพิ่มคุณค่าให้กับลูกค้า และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในตลาด โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการส่งมอบสินค้าและบริการที่เหมาะสม ถูกต้อง ตรงเวลา และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า

ทำไมธุรกิจต้องให้ความสำคัญกับระบบ SCM
Supply Chain Management (SCM) เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจมีกำไรมากขึ้น โดยเฉพาะกับธุรกิจที่เริ่มขยายตัวหรือมีหลายขั้นตอนในการทำงาน การบริหารจัดการซัพพลายเชนอย่างมีระบบ จะเกิดประโยชน์ต่อธุรกิจ 3 เรื่องหลักๆ ดังนี้
Reduced Operational Costs ลดต้นทุนการดำเนินงาน
ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของการจัดการซัพพลายเชน คือ การลดต้นทุนในการดำเนินงาน องค์กรหรือธุรกิจสามารถระบุจุดหรือขั้นตอนทำงานบางอย่างที่ไม่ประสิทธิภาพและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ได้ง่ายขึ้น ทำให้ช่วยลดต้นทุนในการผลิตหลายด้าน เช่น ด้านการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง เพื่อลดสินค้าคงเหลือส่วนเกินและปรับปรุงอัตราการหมุนเวียนสินค้า ด้านการขนส่ง ช่วยวางแผนเส้นทางอย่างเหมาะสมและรวมการจัดส่งเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการขนส่ง และด้านการจัดซื้อจัดหา เพิ่มประสิทธิภาพการเจรจาต่อรองเงื่อนไขที่ดีกับซัพพลายเออร์เพื่อลดต้นทุนวัตถุดิบ
Improved Efficiency and Productivity ปรับปรุงประสิทธิภาพและผลผลิต
การปรับปรุงซัพพลายเชนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยให้กระบวนการทำงานเป็นระบบและลื่นไหลยิ่งขึ้น โดยปรับลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นและกำจัดจุดคอขวดในไลน์การผลิต ส่งผลให้สามารถผลิตสินค้าได้รวดเร็วขึ้น ใช้ทรัพยากรน้อยลง และลดต้นทุนโดยรวมได้ ซึ่งวิธีการที่นิยมใช้้ เช่น นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้้ เพื่อเร่งกระบวนการผลิต, การเสริมสร้างการสื่อสารและความร่วมมือระหว่างทุกฝ่ายในซัพพลายเชน รวมไปถึงใช้การวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อช่วยตัดสินใจได้แม่นยำ และคาดการณ์ความต้องการของตลาดล่วงหน้าได้อย่างถูกต้อง
Enhanced Customer ยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า
SCM การจัดการซัพพลายเชนอย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงแค่ช่วยลดต้นทุนเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้อีกด้วย ซึ่งเป็นผลมาจากลูกค้าได้รับสินค้าที่ตรงเวลาและรักษาคุณภาพสินค้าให้อยู่ในระดับดีเยี่ยมจากธุรกิจ เมื่อลูกค้าเกิดความพึงพอใจกับสินค้าหรือบริการ ลูกค้าก็บอกต่อหรือรีวิวสินค้าให้กับแบรนด์ทันที ทำให้ธุรกิจได้ภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือและมีชื่อเสียงที่ดีตามมา

Supply Chain Management มีอะไรบ้าง
1. Planning (การวางแผน)
การวางแผนในระบบซัพพลายเชนเป็นกระบวนการที่สำคัญในการคาดการณ์และจัดหาสินค้า (Supply) ให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและการผลิต (Demand) เพื่อให้มีปริมาณสินค้าที่เพียงพอและตรงตามความต้องการของตลาด การวางแผนที่แม่นยำช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการจัดตารางการผลิตและการควบคุมสินค้าคงคลังอย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการผลิตสินค้ามากเกินไปหรือไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ทำให้เกิดของเสียหรือสินค้าขาดสต๊อก
2. Sourcing (การจัดหา)
การจัดหา (Sourcing) เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการค้นหา ประเมิน และเลือกซัพพลายเออร์ (Supplier) ที่จะจัดหาวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนที่จำเป็นต่อกระบวนการผลิต โดยต้องพิจารณาหลายปัจจัย ทั้งต้นทุน คุณภาพ และความตรงต่อเวลาในการส่งมอบ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความน่าเชื่อถือของซัพพลายเออร์ เพราะแม้จะเกิดความล่าช้าหรือความไม่สม่ำเสมอเพียงเล็กน้อย ก็สามารถสร้างปัญหาในกระบวนการผลิต และเพิ่มต้นทุนแฝง รวมถึงกระทบต่อความพึงพอใจของลูกค้าได้
กลยุทธ์การจัดหาคู่ค้าที่ดีไม่ควรเน้นเพียงแค่การต่อรองราคา แต่ต้องสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับซัพพลายเออร์ที่มีความน่าเชื่อถือ การประเมินผลการทำงานอย่างสม่ำเสมอ การสื่อสารที่โปร่งใส และการจัดการความเสี่ยงที่ดี จะช่วยให้ห่วงโซ่อุปทานมีความมั่นคงและสามารถตอบสนองความต้องการของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การตรวจสอบความเสี่ยงของ Supplier ก่อนร่วมธุรกิจ
ในการทำธุรกิจที่ต้องพึ่งพาซัพพลายเออร์ภายนอก ควรต้องมีการตรวจสอบซัพพลายเออร์ก่อนจะร่วมมือกัน หลายบริษัทอาจใช้วิธีพูดคุยหรือเข้าไปเยี่ยมชมกิจการ เพื่อประเมินความเหมาะสมของซัพพลายเออร์ก่อนเลือกเป็นคู่ค้า ซึ่งตรงนี้อาจเป็นเพียง “ข้อมูลเบื้องหน้า” เท่านั้น เพราะในความเป็นจริง เราไม่มีทางรู้เลยว่า ซัพพลายเออร์รายนั้นมีความเสี่ยงซ่อนอยู่มากน้อยเพียงใด
เพราะหลายบริษัทที่เมื่อได้ร่วมงานกับซัพพลายเออร์แล้ว แต่ก็เจอปัญหาอย่างเช่น ซัพพลายเออร์ส่งสินค้าล่าช้า สินค้าที่ได้รับมีคุณภาพต่ำ ไม่ได้มาตรฐาน หรือแม้กระทั่งอยู่ดีๆ ซัพพลายเออร์ก็ปิดกิจการแบบไม่บอกล่วงหน้าเลย เมื่อเราเป็นคู่ค้าธุรกิจกันอยู่ ก็เตรียมตัวไว้เลยว่า มันจะไม่ได้กระทบแค่ต้นทุนหรือกำไรเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของธุรกิจและความสัมพันธ์กับลูกค้าของเราในระยะยาวแน่นอน และเพื่อป้องกันความเสี่ยงเหล่านี้ เราควรจะตั้งคำถามสแกนเบื้องต้นไว้คร่าวๆ ก่อน อย่างเช่น
ซัพพลายเออร์ จดทะเบียนบริษัทถูกต้องหรือไม่ ประกอบกิจการถูกประเภทหรือเปล่า ?
ซัพพลายเออร์ มีหนี้สินสะสมอยู่จำนวนเท่าไหร่ และเคยมีประวัติการผิดชำระหนี้ล่าช้าหรือเปล่า ?
ซัพพลายเออร์ มีรายได้และสภาพคล่องทางการเงินเพียงพอหรือไม่ ?
นี่เป็นตัวอย่างคำถามสำหรับการตรวจสอบข้อมูลของบริษัทที่จะมาเป็นคู่ค้าซัพพลายเออร์กับบริษัทของเรา โดยคุณสามารถหาข้อมูลพวกนี้ได้จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น ฐานข้อมูลกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือแพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจที่ให้บริการอยู่ ที่ช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของคู่ค้าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันผลกระทบต่อธุรกิจของคุณในอนาคต
3. Manufacturing (การผลิต)
กระบวนการผลิตใน SCM เป็นการแปรสภาพวัตถุดิบจากซัพพลายเออร์ให้เป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่พร้อมนำออกสู่ตลาด ซึ่งกระบวนการผลิตสามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนย่อยๆ อีก เช่น การประกอบ การทดสอบ การตรวจสอบคุณภาพ และการบรรจุหีบห่อ
ในกระบวนการผลิตจำเป็นต้องมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพในการลดของเสีย รวมถึงควบคุมคุณภาพสินค้า เพราะความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยอาจกระทบกระบวนการทั้งระบบ เช่น การส่งสินค้าล่าช้าหรือสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ธุรกิจควรต้องปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ไหลลื่น รักษาคุณภาพสินค้า และจัดตารางการผลิตให้ตอบสนองความต้องการโดยไม่สร้างสต๊อกส่วนเกิน ซึ่งจะช่วยควบคุมต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
4. Distribution (การกระจายสินค้า)
การกระจายสินค้า (Distribution) เป็นขั้นตอนที่จัดการการส่งมอบสินค้าสำเร็จรูปไปยังผู้ใช้งานหรือลูกค้าปลายทาง โดยหลีกเลี่ยงความล่าช้าที่ไม่จำเป็นหรือการสะสมของสินค้าคงคลัง เริ่มตั้งแต่การออกจากโรงงานผลิตไปจนถึงการส่งถึงหน้าร้านค้าปลีกต่างๆ ซึ่งส่วนสำคัญในกระบวนการนี้คือ "ระบบโลจิสติกส์" โดยมีจุดมุ่งหมายหลักคือ การจัดส่งตรงเวลา ไม่เกิดความเสียหายระหว่างขนส่ง และลดต้นทุนการขนส่งให้น้อยที่สุด
5. Returns (การคืนสินค้า)
การคืนสินค้า (Return) เป็นกระบวนการสำคัญในการบริหารจัดการซัพพลายเชน (SCM) ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสินค้าที่ลูกค้าต้องการส่งคืน ไม่ว่าจะเกิดจากสินค้ามีปัญหา ได้รับของผิด หรือสินค้าไม่ตรงตามความคาดหวัง ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การรับคืน การเปลี่ยนหรือคืนเงิน การขนส่งย้อนกลับ (Reverse Logistics) ไปจนถึงการรีไซเคิลหรือกำจัดสินค้า โดยกระบวนการนี้ไม่เพียงช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า แต่ยังเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่สะท้อนคุณภาพของสินค้าและกระบวนการผลิต ซึ่งสามารถนำไปสู่การปรับปรุงผลิตภัณฑ์และระบบให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต
การบริหารจัดการซัพพลายเชน (Supply Chain Management: SCM) นับว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านการควบคุมต้นทุน เมื่อระบบซัพพลายเชนได้รับการออกแบบและบริหารอย่างเหมาะสม ธุรกิจจะสามารถลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น เช่น สินค้าค้างสต๊อก การผลิตสินค้าเกิดความต้องการตลาด ซึ่งจะส่งผลให้มีงบประมาณเหลือเพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาธุรกิจในด้านอื่น ๆ ได้มากขึ้น
หนึ่งในจุดเริ่มต้นของ SCM ที่ดี คือ การคัดเลือกซัพพลายเออร์หรือพันธมิตรทางธุรกิจที่น่าเชื่อถือ มีเสถียรภาพทางการเงิน มีประวัติการดำเนินงานที่ดี แต่อย่างไรก็ตาม วิธีการหาซัพพลายเอร์แบบดั้งเดิม อย่างเช่น การลงพื้นที่เข้าไปเจรจาด้วยตัวเอง หรือการอาศัยการแนะนำจากบุคคลในแวดวงธุรกิจ ที่อาจใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมากเกินไป
แต่จริงๆ แล้ว ตอนนี้สามารถลดขั้นตอนยุ่งยากเหล่านั้นลงได้ ด้วย “ฟีเจอร์ค้นหาคู่ค้า จาก Corpus X” ที่ช่วยให้คุณตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกของซัพพลายเออร์ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการ ความโปร่งใส สถานะทางการเงิน รวมถึงประวัติการชำระหนี้ เพียงไม่กี่คลิก คุณก็สามารถคัดกรองคู่ค้าที่มี “เกณฑ์เขียว” ได้อย่างมั่นใจ ช่วยลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสสร้างความร่วมมือที่ยั่งยืนในอนาคต
ทดลองใช้ Corpus X ฟรีวันนี้ เพื่อให้การเลือกคู่ค้าของคุณแม่นยำและรวดเร็วกว่าเดิม!!