top of page

5 ประโยชน์ Supply Chain Management ช่วยธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

ประโยชน์ Supply Chain Management ต่อธุรกิจ

ห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ไม่ใช่แค่เรื่อง ‘การจัดส่งสินค้า’ อย่างที่หลายธุรกิจเข้าใจผิด ซัพพลายเชนคือ “หัวใจสำคัญ” ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของธุรกิจจำนวนมาก เพราะถ้าจัดการได้ดี มันสามารถช่วยลดต้นทุนได้มหาศาล เพิ่มกำไรได้แบบยั่งยืน และยังช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดได้ แม้ต้องเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจหรือการแข่งขันที่ดุเดือดแค่ไหนก็ตาม


ประโยชน์ของ Supply Chain Management จึงไม่ได้จำกัดแค่ด้านโลจิสติกส์หรือการขนส่ง แต่ยังครอบคลุมถึงการวางแผน การจัดซื้อ การควบคุมสต๊อกสินค้า การบริหารความเสี่ยง และการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน


หากวันนี้ธุรกิจของคุณยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับการวางแผนห่วงโซ่อุปทานอย่างจริงจัง อาจถึงเวลาแล้วที่ต้อง “เปลี่ยนความคิด” และเริ่มมอง Supply Chain Management หรือการจัดการห่วงโซ่อุปทาน เป็นมากกว่าการส่งของ แต่มองเป็น “กลยุทธ์สำคัญ” ที่จะพาธุรกิจไปไกลกว่าคู่แข่ง


ประโยชน์ของ Supply Chain Management

ประโยชน์ข้อที่ 1 ลดต้นทุนการผลิตด้วยการวางแผนจัดซื้อที่แม่นยำขึ้น


การจัดการซัพพลายเชนให้เป็นระบบ สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายผ่านการวางแผนจัดซื้อที่มีประสิทธิภาพ ที่ช่วยให้ธุรกิจได้ประโยชน์ต่างๆ เหล่านี้


1) ช่วยบริหารสต๊อกให้พอดี

การมีสินค้าคงคลังมากเกินจำเป็น ทำให้ธุรกิจต้องแบกรับต้นทุนเก็บรักษาสูง ทั้งค่าเช่าคลัง ค่าจัดการสินค้า และยังเสี่ยงเจอสินค้าหมดอายุหรือชำรุดระหว่างจัดเก็บ การวางแผนสต๊อกอย่างแม่นยำจะช่วยให้ธุรกิจมีสินค้าเพียงพอกับความต้องการโดยไม่ต้องเสียเงินจมไปกับสินค้าที่ไม่ได้ขาย เนื่องจากชำรุดหรือหมดอายุตอนอยู่ในคลังสินค้า


2) วางแผนจัดซื้อแม่นยำขึ้น

ข้อมูลที่ดีช่วยให้คุณวางแผนจัดซื้อล่วงหน้าได้ถูกจังหวะ เช่น เลี่ยงช่วงราคาวัตถุดิบพุ่งสูง หรือผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนและภาษีการค้า เช่น ภาษีทรัมป์ ที่อาจเพิ่มต้นทุนโดยไม่รู้ตัว ลดความเสี่ยงจากการซื้อของแพงเกินความจำเป็น และช่วยควบคุมงบประมาณได้แม่นยำขึ้น


3) ลดของเสียหรือของสูญเปล่า

เมื่อรู้ความต้องการของตลาดชัดเจน ก็สามารถวางแผนผลิตสินค้าและสั่งซื้อวัตถุดิบได้อย่างพอดี ไม่มากเกินจนกลายเป็นของเหลือ และไม่เสี่ยงสินค้าขาดสต๊อก จนทำให้ลูกค้าผิดหวัง ช่วยลดต้นทุนและทำให้ทรัพยากรที่ใช้ไปคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์


ประโยชน์ข้อที่ 2 เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า


การจัดการซัพลายเชน (SCM) นอกจากจะช่วยลดต้นทุนได้แล้ว ยังช่วยสร้างความประทับใจให้ลูกค้าได้อีกด้วย โดยการนำซัพพลายเชนมาใช้ในงานบริการที่ส่งผลโดยตรงต่อผู้บริโภค ดังนี้


1) การจัดส่งสินค้าตรงเวลา

ลูกค้าจะรู้สึกพอใจมากขึ้น เมื่อได้รับสินค้าตรงเวลา หรือเร็วกว่าที่คาดไว้ การวางแผนสต๊อกสินค้าและจัดการโลจิสติกส์ที่แม่นยำคือหัวใจสำคัญของเรื่องนี้ เมื่อธุรกิจที่มีการวางแผนการผลิตและจัดส่งสินค้าไว้อย่างเป็นระบบ จะทำให้มองเห็นจุดที่ต้องปรับปรุงได้ง่ายขึ้น เพราะสามารถมองเห็นได้เลยว่า กระบวนการตรงไหนที่เป็นจุดโหว่ ที่ควรต้องรีบเข้าไปจัดการแก้ไขให้เร็วที่สุด


2) คุณภาพสินค้าเสมอต้นเสมอปลาย

การจัดการซัพพลายเชนมีส่วนสำคัญในการหาวัตถุดิบที่มีคุณภาพ และการจัดเก็บวัตถุดิบในพื้นที่เหมาะสม เพื่อให้ได้มาตรฐานสินค้าที่คงที่ ช่วยลดปัญหาสินค้าชำรุดหรือสินค้าไม่ได้คุณภาพที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการผลิต เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าไม่มีคุณภาพเหล่านี้หลุดไปถึงมือลูกค้า ที่อาจทำให้ลูกค้าที่ได้รับสินค้าคุณภาพต่ำเกิดความผิดหวังต่อแบรนด์ จนทำให้แบรนด์สูญเสียลูกค้าไปในที่สุด


3) บริการหลังการขายที่ตอบโจทย์

เมื่อลูกค้าต้องการคำสั่งซื้อพิเศษ การปรับเปลี่ยนสินค้าหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ทันที จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าธุรกิจของคุณ “ใส่ใจและเข้าใจ” ความต้องการของลูกค้าได้จริงๆ นี่จึงเป็นอีกกลยุทธ์ชนะใจลูกค้าให้อยู่กับแบรนด์ได้ระยะยาว ดังนั้นการที่มีระบบคลังสินค้าและระบบจัดส่งที่พร้อมก็จะทำให้ธุรกิจ สามารถส่งสินค้ากลับไปหาลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว


ประโยชน์ข้อที่ 3 บริหารความเสี่ยงได้ดีขึ้น มองเห็นจุดเปราะบาง


หากธุรกิจต้องเผชิญกับปัญหาซัพพลายเออร์และการบริหารคลังสินค้าที่ไม่มีประสิทธิภาพ การหาวิธีอุดรอยรั่วเหล่านี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับระบบธุรกิจ ซึ่ง Supply Chain Management สามารถเข้ามาช่วยจัดการและแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างถูกจุด ซึ่งมีดังนี้


1) การพึ่งพาซัพพลายเออร์เพียงรายเดียว

ธุรกิจจำนวนมากเลือกทำงานกับซัพพลายเออร์เพียงเจ้าเดียวเพราะความสะดวกหรือราคาที่ได้ถูกกว่า แต่หากซัพพลายเออร์รายนั้นเกิดปัญหา เช่น ผลิตสินค้าไม่ทัน วัตถุดิบขาด หรือจัดส่งล่าช้า ก็จะทำให้กระบวนการผลิตทั้งหมดต้องหยุดชะงักทันที เพราะไม่มีแหล่งสำรองในการจัดหา ส่งผลให้ส่งมอบสินค้าให้ลูกค้าไม่ทันเวลา และอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าในระยะยาว และมีโอกาสสูญเสียลูกค้าได้


2) ซัพพลายเออร์ไม่มีคุณภาพ

ซัพพลายเออร์ไม่มีคุณภาพ อาจส่งผลให้เกิดความล่าช้า หรือส่งมอบสินค้าและบริการที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งกระทบต่อกระบวนการผลิต ระบบซัพพลายเชนโดยรวม และอาจลุกลามไปถึงยอดขาย ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ และความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในระยะยาว


ดังนั้นบริษัทหรือธุรกิจ จึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบความเสี่ยงของซัพพลายเออร์ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้ประเมินความมั่นคงและความน่าเชื่อถือของบริษัทจัดหาวัตถุดิบหรือบริการ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เช่น ซัพพลายเออร์ส่งของล่าช้า ส่งของผิดเวลา การผลิตสินค้าไม่มีคุณภาพ หรือไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงธุรกิจ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะมีสาเหตุมาจากซัพพลายเออร์มีปัญหาภายใน เช่น การเงินไม่มั่นคง หรือการบริหารจัดการไม่ดี จนทำให้ไม่สามารถผลิตสินค้าหรือจัดส่งสินค้าได้ตามกำหนด และเมื่อปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในห่วงโซ่อุปทาน ก็ส่งผลกระทบมาถึงธุรกิจของเราในฐานะคู่ค้าของซัพพลายเออร์รายนี้ จนทำให้เราไม่สามารถจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าได้ตามกำหนดเวลา ซึ่งกระทบต่อความน่าเชื่อถือของธุรกิจเป็นอย่างมาก


จึงเป็นอีกเหตุผลว่า ก่อนที่จะตกลงร่วมทำธุรกิจกับบริษัทของซัพพลายเออร์ ควรจะต้องตรวจสอบประเมินความเสี่ยงของซัพพลายเออร์ในหลายๆ ด้าน และวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านี้ก่อนตัดสินใจ ได้แก่


  1. ชื่อของกิจการและที่อยู่ของกิจการ

  2. หนังสือบริคณห์สนธิ หรือเอกสารจัดตั้งนิติบุคคล

  3. ข้อมูลด้านภาษี (เช่น หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษี, เอกสารการชำระภาษี)

  4. ใบอนุญาตประกอบธุรกิจ

  5. หนังสือรับรองคุณวุฒิ/เอกสารแสดงความน่าเชื่อถือ/ใบประกาศที่เกี่ยวข้อง

  6. ใบอนุญาตที่เกี่ยวข้อง เช่น ใบอนุญาตดำเนินกิจการเฉพาะด้าน

  7. เอกสารหรือข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกรรมสิทธิ์ในกิจการ

  8. ข้อมูลสำหรับติดต่อ (เช่น อีเมล, เบอร์โทรศัพท์, ช่องทางการติดต่ออื่น ๆ)

  9. แนวทางหรือมาตรการด้านประกันภัยและการป้องกันการฉ้อโกง


ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาใช้ประกอบการประเมินศักยภาพของซัพพลายเออร์ได้อย่างรอบด้าน ว่ามีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่ ที่จะกลายเป็นพันธมิตรทางธุรกิจของเราในอนาคต

3) ขาดแผนสำรองเมื่อเกิดวิกฤต

ในโลกธุรกิจไม่มีอะไรแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด ภัยธรรมชาติ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ หรือปัญหาเฉพาะในอุตสาหกรรม ล้วนส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานได้ หากธุรกิจไม่มีแผนสำรองที่ชัดเจน เช่น การจัดหาวัตถุดิบจากแหล่งสำรองอื่น หรือการปรับเปลี่ยนขั้นตอนการผลิตเมื่อเกิดปัญหา ก็อาจทำให้ธุรกิจหยุดชะงักทันที ขาดรายได้ สูญเสียโอกาส และถึงขั้นสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้าไปในที่สุด


ประโยชน์ข้อที่ 4 สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน


หลายธุรกิจที่มีคู่แข่งน่าจะเคยใช้โปรโมชั่นลดราคาเพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งก็ได้ผลในระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทุกธุรกิจจะสามารถแข่งกันที่ราคาได้เสมอไป การนำระบบจัดการห่วงโซ่อุปทาน (SCM) เข้ามาช่วย จะทำให้ธุรกิจมีความได้เปรียบมากขึ้นเมื่อต้องแข่งขันในตลาด ผ่านการส่งมอบสินค้าคุณภาพควบคู่ไปกับการทำโปรโมชั่น เพื่อรักษาลูกค้าให้อยู่กับแบรนด์ให้ได้นานที่สุด


1) ส่งมอบสินค้าได้เร็วกว่า

ธุรกิจที่มีการจัดการซัพพลายเชนอย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถควบคุมทุกขั้นตอน ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต ไปจนถึงการจัดส่งถึงมือลูกค้าได้อย่างราบรื่น ซึ่งทำให้สามารถส่งสินค้าได้รวดเร็วกว่าเจ้าอื่น ลดระยะเวลารอคอยของลูกค้า เพิ่มความพึงพอใจในการใช้บริการ และสร้างโอกาสในการดึงดูดลูกค้าจากคู่แข่งมาเป็นของตนเองได้อย่างชัดเจน


2) รักษาคุณภาพสินค้าได้สม่ำเสมอ

การควบคุมกระบวนการภายในซัพพลายเชน ไม่ว่าจะเป็นการคัดเลือกวัตถุดิบ การควบคุมการผลิต และการขนส่งอย่างเป็นระบบ จะช่วยให้คุณภาพสินค้าอยู่ในมาตรฐานเดียวกันทุกล็อต ไม่เกิดความแปรปรวนหรือปัญหาสินค้าเสียหาย ซึ่งจะช่วยรักษาความน่าเชื่อถือของแบรนด์ และลดความเสี่ยงจากการร้องเรียนหรือคืนสินค้าได้อย่างมาก


3) เพิ่มการแข่งขันด้านต้นทุน

เมื่อธุรกิจสามารถบริหารจัดการทรัพยากรและต้นทุนในแต่ละขั้นตอนได้ดี เช่น ลดของเสียจากการผลิต ลดต้นทุนการขนส่ง หรือสั่งซื้อวัตถุดิบในปริมาณเหมาะสม ก็จะช่วยลดต้นทุนโดยรวมของสินค้า ทำให้สามารถตั้งราคาขายได้ในระดับที่ผู้บริโภคเข้าถึงได้ โดยที่ยังคงมีกำไรเพียงพอให้ธุรกิจเติบโตได้ในระยะยาว ซึ่งเป็นจุดแข็งสำคัญในการแข่งขันในตลาดที่มีผู้ประกอบการจำนวนมาก


ประโยชน์ข้อที่ 5 ลดของเสียและใช้ทรัพยากรการผลิตให้เกิดประโยชน์สูงสุด


ในยุคการแข่งขันสูง การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น ระบบ SCM เข้ามาช่วยลดความสูญเปล่าและเพิ่มประสิทธิภาพในทุกขั้นตอนการผลิต ทำให้ธุรกิจไม่จำเป็นต้องแบกต้นทุนด้านของเสียหรือหลุด QC

1) ลดการผลิตสินค้าเกิน

หลายธุรกิจยังคงใช้แนวทางการผลิตตามความเคยชินหรือประสบการณ์ที่ผ่านมา โดยไม่ได้อ้างอิงจากข้อมูลความต้องการของตลาดจริง ส่งผลให้มีความเสี่ยงในการผลิตเกินความจำเป็น สินค้าจึงกลายเป็นของค้างสต๊อก เสียพื้นที่จัดเก็บ และบางประเภทอาจเสื่อมสภาพหรือหมดอายุ ทำให้ต้องตัดจำหน่ายหรือสูญเสียกำไรไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่ถ้ามีระบบ SCM เข้ามาช่วย จะสามารถรวบรวม วิเคราะห์ และคาดการณ์ Demand ของลูกค้าได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ทำให้วางแผนการผลิตได้ตรงจุด ช่วยลดความสูญเปล่า และบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น


2) ลดของเสียในกระบวนการผลิต

การสูญเสียในกระบวนการผลิต เช่น สินค้าหลุดมาตรฐานหรือไม่ได้คุณภาพ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ต้นทุนจม เพราะไม่สามารถนำสินค้าเหล่านั้นไปจำหน่ายในราคาปกติได้ ซึ่งการจัดการโซ่อุปทาน (SCM) จะช่วยให้องค์กรสามารถใช้เทคนิคการควบคุมคุณภาพ เช่น ระบบอัตโนมัติ (Automation), เครื่องมือตรวจสอบแบบเรียลไทม์ หรือแม้แต่การวิเคราะห์ข้อมูลย้อนหลัง เพื่อหาจุดบกพร่องในกระบวนการผลิตได้ทันท่วงที ส่งผลให้ลดปริมาณของเสีย เพิ่มอัตราสินค้าได้มาตรฐาน และใช้ทรัพยากรในกระบวนการได้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น


3) เพิ่มการใช้วัตถุดิบอย่างคุ้มค่า

Supply Chain Management การจัดการโซ่อุปทานมีบทบาทสำคัญในการวางแผนการใช้วัตถุดิบให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเริ่มตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ การเลือกเทคโนโลยีการผลิตไปจนถึงกระบวนการจัดเก็บและเคลื่อนย้ายวัสดุ การใช้วัตถุดิบในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยเกินไป ช่วยลดต้นทุนและลดปริมาณของเหลือทิ้ง เช่น เศษวัสดุจากการตัดหรือประกอบที่ไม่ตรงตามมาตรฐาน รวมถึงสามารถนำแนวคิด Zero Waste หรือ Circular Economy มาใช้ร่วม เพื่อให้เกิดความยั่งยืนทั้งในด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม


หาซัพพลายเออร์ คู่ค้า ด้วย Corpus X

จะเห็นได้ว่าการจัดการโซ่อุปทาน (SCM) อย่างเป็นระบบ ไม่ใช่แค่เรื่องของกระบวนการหลังบ้านเท่านั้น แต่คือ “กลยุทธ์สำคัญ” ที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน และอาจกลายเป็นแต้มต่อที่ทำให้ธุรกิจของคุณ “ยืนหนึ่ง” ในตลาดได้ยาวนานกว่าคู่แข่ง


ประโยชน์ของ Supply Chain Management ไม่ได้จำกัดแค่ด้านต้นทุนหรือการส่งมอบสินค้าเท่านั้น แต่ยังส่งผลครอบคลุมถึงภาพรวมของการดำเนินธุรกิจ ตั้งแต่การวางแผน กระบวนการผลิต การจัดซื้อ ไปจนถึงการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า สามารถสรุปได้เป็นหัวข้อหลัก ๆ ดังนี้


  • ลดต้นทุนการผลิตและบริหารทรัพยากร

  • เพิ่มความพึงพอใจให้ลูกค้า

  • บริหารความเสี่ยงได้แม่นยำ

  • สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน

  • ใช้ทรัพยากรได้คุ้มค่าสูงสุด


และเบื้องหลังระบบการจัดการซัพพลายเชนที่แข็งแรง คือ “ข้อมูลเชิงลึก Insight” ที่เชื่อถือได้ ตั้งแต่การตรวจสอบซัพพลายเออร์ วิเคราะห์งบการเงิน รายได้ หรือแม้กระทั่งประวัติการชำระหนี้ เพื่อให้มั่นใจว่า จะไม่ร่วมงานกับคู่ค้าที่ทำให้ธุรกิจสะดุดกลางทาง


หากคุณอยากลดความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสความสำเร็จในธุรกิจ ทดลองใช้ Corpus X ฟรี !! เครื่องมือช่วยวิเคราะห์คู่ค้า ที่ช่วยให้คุณรู้ข้อมูลธุรกิจเจาะลึกได้อย่างครบถ้วนและรวดเร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลานั่งไล่เช็กเองทีละบริษัท มาเริ่มต้นวางแผนซัพพลายเชนอย่างมืออาชีพ ตั้งแต่วันนี้เลย

bottom of page