โควิดหยุดคน น้ำท่วมใต้หยุดเศรษฐกิจทั้งระบบ
- Phannita Yoddamnoen
- 2 วันที่ผ่านมา
- ยาว 2 นาที

ภายใต้วิกฤต มหาอุทกภัยภาคใต้ ปี 2568 สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียง “เหตุการณ์น้ำท่วม” ที่กระทบชุมชนหรือการเดินทางเท่านั้น แต่คือสัญญาณเตือนระดับโครงสร้างว่า ธุรกิจในภาคใต้ และธุรกิจที่พึ่งพาภาคใต้เป็นฐานการผลิต เส้นทางขนส่ง หรือประตูการค้า กำลังเผชิญความเสี่ยงแบบบ “หยุดทั้งระบบ” ในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่รุนแรงอย่างยิ่ง
หากมองผ่านมุมอุตสาหกรรม จะเห็นว่าวิกฤตครั้งนี้ไม่ได้กระจายผลกระทบเท่ากันทุกกลุ่ม ธุรกิจท่องเที่ยวสะดุดจากการยกเลิกการเดินทางและความเสียหายของทรัพย์สิน ธุรกิจโลจิสติกส์และคลังสินค้าได้รับแรงกระแทกจากเส้นทางที่ถูกตัดขาด ธุรกิจค้าชายแดนและโรงงานที่พึ่งพาการส่งออกเผชิญความเสี่ยงด้านคำสั่งซื้อและต้นทุนที่พุ่งขึ้นพร้อมกัน ขณะที่ธุรกิจขนาดเล็กในพื้นที่ประสบภัยต้องรับ “ต้นทุนการฟื้นตัว” แบบทันที ทั้งการซ่อมแซมทรัพย์สิน การจัดการสต๊อก และการประคองกระแสเงินสดให้รอดช่วงหยุดชะงัก
บทความนี้จึงไม่ได้ตั้งใจจะเล่าภาพความเสียหายเพียงอย่างเดียว แต่จะชวนเจ้าของกิจการ “อ่านวิกฤต” ให้ลึกขึ้น ผ่านเลนส์ของแต่ละอุตสาหกรรมว่าอะไรคือจุดเปราะบางจริงของธุรกิจ อะไรคือผลกระทบที่ซ่อนอยู่ในห่วงโซ่อุปทาน และอะไรคือความเสี่ยงที่อาจลามจากพื้นที่น้ำท่วมไปสู่คำสั่งซื้อ เครดิต และความเชื่อมั่นของคู่ค้าในระยะถัดไป เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถใช้ข้อมูลและมุมมองเชิงระบบในการตัดสินใจได้แม่นขึ้น วางแผนฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และเตรียมพร้อมก่อนวิกฤตรอบใหม่จะมาถึงอีกครั้ง
เปรียบเทียบสองวิกฤตใหญ่ที่เกิดกับภาคใต้
ภาคใต้ของไทยต้องเผชิญกับวิกฤตทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญถึงสองครั้งในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้แก่ การแพร่ระบาดของโควิด-19 และ มหาอุทกภัยภาคใต้ ปี 2568 ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่องในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว วิกฤตทั้งสองสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาคใต้ในลักษณะที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยหากมองผ่านเลนส์ของ โควิด-19 ผลกระทบเศรษฐกิจ จะเห็นความเสียหายที่กระจายเป็นวงกว้างจากข้อจำกัดการเดินทางและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ขณะที่อุทกภัยครั้งใหญ่เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่โดยตรง และสะท้อน ผลกระทบเศรษฐกิจภาคใต้ ในเชิงกายภาพอย่างชัดเจน
บทความนี้มุ่งเปรียบเทียบผลกระทบของสองวิกฤตดังกล่าวต่อภาคใต้ โดยพิจารณาบทบาทของภาคใต้ในฐานะ แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ ฮับ โลจิสติกส์ภาคใต้ ที่เชื่อมโยงการขนส่งหลายระบบ และ ประตู การค้าชายแดนไทย–มาเลเซีย–สิงคโปร์ ควบคู่กับการวิเคราะห์ความแตกต่างของลักษณะวิกฤตและบทเรียนเชิงโครงสร้าง เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการเตรียมความพร้อมรับมือ ความเสี่ยงทางธุรกิจ ในอนาคต โดยอาศัยข้อมูลเชิงลึกจาก Corpus X ผู้ให้บริการข้อมูลธุรกิจของไทย ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์และประเมินผลกระทบต่อภาคธุรกิจได้อย่างเป็นระบบ
ภาคใต้: แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศที่เผชิญแรงกระแทกต่อเนื่อง
ภาคใต้เป็นที่ตั้งของจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทย ทั้งแหล่งท่องเที่ยวระดับนานาชาติ เช่น ภูเก็ต กระบี่ และสมุย รวมถึงเมืองชายแดนอย่างหาดใหญ่ที่พึ่งพานักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านเป็นหลัก วิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้ภาค การท่องเที่ยวภาคใต้ชะลอตัวลงอย่างรุนแรง การปิดประเทศและมาตรการจำกัดการเดินทางทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปเป็นระยะเวลานาน ธุรกิจท่องเที่ยวตั้งแต่โรงแรม บริษัทนำเที่ยว ไปจนถึงร้านอาหารและบริการในท้องถิ่นได้รับผลกระทบเป็นวงกว้าง
จากข้อมูลของ Corpus X พบว่าในช่วงวิกฤตโควิด มีธุรกิจในภาคใต้จำนวน 99,435 บริษัท 29,119 สาขา และ 7,496 โรงงาน รวมทั้งสิ้น 136,050 กิจการ ที่ต้องหยุดให้บริการชั่วคราวหรือดำเนินธุรกิจภายใต้ภาวะขาดทุนเพื่อรักษาสภาพคล่อง
ภายหลังการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในปี 2566 เมื่อจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้น ภาคใต้กลับต้องเผชิญแรงกดดันอีกครั้งจาก มหาอุทกภัยภาคใต้ ปี 2568 ซึ่งเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อพื้นที่ท่องเที่ยวและโครงสร้างพื้นฐานในหลายจังหวัด แหล่งท่องเที่ยวบางแห่งต้องหยุดให้บริการชั่วคราว ขณะที่นักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งเลื่อนหรือยกเลิกแผนการเดินทางเนื่องจากเส้นทางคมนาคมถูกตัดขาดและสถานที่บางส่วนได้รับความเสียหาย
แตกต่างจากช่วงโควิด-19 ที่โครงสร้างพื้นฐานหลักยังสามารถใช้งานได้ เหตุการณ์ น้ำท่วมภาคใต้ ปี 2568 สร้างความเสียหายเชิงกายภาพต่อธุรกิจในพื้นที่ประสบภัย โดยเฉพาะโรงแรมขนาดเล็ก โฮมสเตย์ และร้านค้าในชุมชน จากการประเมินเบื้องต้น คาดว่ามีธุรกิจท่องเที่ยวภาคใต้จำนวน 57,400 บริษัท 18,064 สาขา และ 5,452 โรงงาน รวม 80,916 กิจการ ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม และจำเป็นต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมและฟื้นฟูก่อนกลับมาเปิดดำเนินการได้อย่างเต็มศักยภาพอีกครั้ง
ภาคใต้: ศูนย์รวมฮับโลจิสติกส์หลายระบบของประเทศ
ภาคใต้มีบทบาทสำคัญในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ภาคใต้ ที่เชื่อมประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านและตลาดโลก ผ่านระบบขนส่งหลากหลายรูปแบบ ทั้งทางถนน รถไฟ ทางทะเล และทางอากาศ เส้นทางถนนสายหลักจากกรุงเทพฯ ลงสู่ภาคใต้เชื่อมต่อไปยังมาเลเซีย ขณะที่ทางรถไฟสายใต้สามารถเชื่อมโยงไปถึงสิงคโปร์ ท่าเรือน้ำลึกและท่าเรือเฟอร์รี่หลายแห่งรองรับการขนส่งสินค้าทางทะเลและการเดินทางของผู้โดยสาร นอกจากนี้ ภาคใต้ยังมีสนามบินนานาชาติหลายแห่งที่ทำหน้าที่เป็นประตูสำคัญในการเคลื่อนย้ายทั้งคนและสินค้า
ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 แม้การเดินทางของผู้โดยสารจะถูกจำกัดอย่างมาก และเที่ยวบินโดยสารต้องหยุดให้บริการเป็นระยะ แต่ระบบโลจิสติกส์ด้านการขนส่งสินค้ายังสามารถดำเนินต่อไปได้ในระดับหนึ่ง สินค้าและวัตถุดิบยังคงถูกลำเลียงผ่านภาคใต้ แม้จะเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นและความล่าช้าในบางช่วง โดยเฉพาะช่วงที่ด่านชายแดนปิดจากมาตรการควบคุมโรค ผู้ประกอบการจำนวนมากปรับเปลี่ยนไปใช้การขนส่งทางเรือและทางอากาศเป็นหลัก ส่งผลให้ห่วงโซ่อุปทานไม่ได้หยุดชะงักลงทั้งหมด
ภาพรวมในช่วงวิกฤตโควิดสะท้อนว่า แม้มูลค่าการค้าผ่านแดนทางบกจะลดลง แต่การส่งออกของประเทศยังสามารถดำเนินต่อได้ผ่านช่องทางทางเลือกต่าง ๆ กล่าวได้ว่าระบบโลจิสติกส์ภาคใต้ในช่วงโควิด-19 ยังคงมีความยืดหยุ่นเพียงพอที่จะรองรับแรงกระแทกในระยะสั้น และไม่ถึงขั้นหยุดชะงักในเชิงโครงสร้าง
ตรงกันข้ามกับช่วงโควิด-19 มหาอุทกภัยภาคใต้ ปี 2568 ส่งผลกระทบต่อระบบโลจิสติกส์ของภาคใต้อย่างฉับพลันและเป็นวงกว้าง ช่วงที่สถานการณ์น้ำท่วมรุนแรง ถนนสายหลักหลายเส้นถูกตัดขาด โดยเฉพาะบริเวณอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าสำคัญของภาคใต้ ส่งผลให้กิจกรรมด้านโลจิสติกส์ในพื้นที่ต้องหยุดชะงักลงเป็นการชั่วคราว ขบวนรถไฟสายใต้ไม่สามารถให้บริการผ่านพื้นที่ประสบภัยได้เนื่องจากรางได้รับความเสียหาย ขณะที่ท่าเรือบางแห่งในอ่าวไทยไม่สามารถใช้งานได้จากสภาพคลื่นลมและน้ำท่วมพื้นที่ท่าเรือ
ในขณะเดียวกัน เที่ยวบินทั้งเพื่อการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารในบางสนามบินต้องถูกยกเลิกหรือเลื่อนออกไป เนื่องจากรันเวย์และระบบสื่อสารได้รับผลกระทบ ตัวอย่างเช่น สนามบินหาดใหญ่ซึ่งการเดินทางเข้า-ออกเมืองเผชิญข้อจำกัดอย่างมาก สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าระบบขนส่งหลายรูปแบบของภาคใต้ได้รับผลกระทบพร้อมกันในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นลักษณะความเสียหายที่มีความรุนแรงและครอบคลุมหลายระบบในช่วงเวลาเดียวกัน
ผลกระทบที่ตามมาคือการขนส่งสินค้าต่อเนื่องไปยังต่างประเทศต้องชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ รถบรรทุกจำนวนมากไม่สามารถส่งสินค้าผ่านแดนได้ตามแผน ก่อให้เกิด ความเสี่ยงทางธุรกิจ ต่อความต่อเนื่องของห่วงโซ่อุปทาน ผู้ประกอบการบางรายระบุว่า แม้จะสามารถปรับไปใช้เส้นทางขนส่งทางเลือก เช่น การขนส่งทางเรืออ้อมคาบสมุทรมลายู แต่จะต้องเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นราว 30–40% และใช้ระยะเวลานานขึ้นประมาณ 2–3 เท่า ซึ่งอาจส่งผลให้คำสั่งซื้อบางส่วนต้องถูกเลื่อนหรือยกเลิก
ความเสียหายดังกล่าวแตกต่างจากวิกฤตโควิด-19 อย่างชัดเจน เนื่องจากเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นกับโครงสร้างพื้นฐานและระบบการขนส่งโดยตรง ไม่เพียงจำกัดการเคลื่อนย้ายของผู้คนหรือสินค้าเท่านั้น แต่ยังสร้างภาระในการฟื้นฟูที่ต้องใช้ทั้งเวลาและเงินลงทุนในระยะสั้นและระยะกลาง
ภาคใต้: ประตูการค้าชายแดนไทย–มาเลเซีย–สิงคโปร์ภายใต้ชะลอตัวอย่างรุนแรง
ภาคใต้ตอนล่างของประเทศไทยมีพรมแดนติดกับมาเลเซีย และมีบทบาทสำคัญในฐานะเส้นทางหลักของการค้าชายแดนไทย–มาเลเซีย เนื่องจากเป็นช่องทางการส่งออกและนำเข้าทางบกไปยังมาเลเซีย สิงคโปร์ และเชื่อมต่อไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ในยามปกติ ระบบการค้าชายแดนดังกล่าวจึงถือเป็นกลไกสำคัญที่หล่อเลี้ยงภาคการผลิตและการค้าของไทยในหลายอุตสาหกรรม
ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินมาตรการควบคุมโรค รวมถึงการปิดด่านชายแดนในระยะหนึ่ง ส่งผลให้การค้าชายแดนชะลอตัวลงในช่วงเริ่มต้น อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้านสามารถปรับตัวได้ด้วยการลดปริมาณการค้า หรือเปลี่ยนไปใช้การขนส่งทางทะเลมากขึ้น ทำให้สินค้าจำเป็นยังคงสามารถเคลื่อนย้ายได้ต่อเนื่อง และการค้าชายแดนทยอยฟื้นตัวกลับมาเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย
แตกต่างจากสถานการณ์โควิดอย่างชัดเจน มหาอุทกภัยภาคใต้ ปี 2568 ส่งผลให้ด่านการค้าชายแดนหลายแห่งต้องหยุดให้บริการเป็นการชั่วคราว ถนนสายหลักที่มุ่งหน้าสู่ด่านสำคัญ เช่น ด่านสะเดา ถูกน้ำท่วมจนไม่สามารถสัญจรได้ ส่งผลให้การขนส่งสินค้าผ่านแดนหยุดชะงักในช่วงเวลาเดียวกัน สินค้าส่งออกหลายประเภทที่ต้องพึ่งพาเส้นทางภาคใต้ไม่สามารถส่งมอบได้ตามแผน ในขณะที่มาตรการทางเลือกซึ่งเคยใช้ได้ในช่วงโควิด ไม่สามารถนำมาปรับใช้ได้ในสถานการณ์ภัยพิบัติครั้งนี้
ผลกระทบดังกล่าวขยายวงไปยังภาคการผลิตทั้งในประเทศและต่างประเทศที่พึ่งพาวัตถุดิบจากไทย หากการฟื้นฟูระบบการค้าชายแดนล่าช้า อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของคู่ค้าและการตัดสินใจด้านห่วงโซ่อุปทานของผู้ผลิตบางราย โดยเริ่มมีสัญญาณความกังวลว่าหากเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำอย่างต่อเนื่อง อาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของไทยในระยะยาว ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการเสริมความแข็งแกร่งและลดความเปราะบางของระบบโลจิสติกส์ชายแดนในอนาคต
ครั้งนี้ต่าง เหมือน และสร้างความเสียหายอย่างไรเมื่อเทียบกับโควิด-19
เมื่อพิจารณาภาพรวม วิกฤตโควิด-19 และมหาอุทกภัยภาคใต้ ปี 2568 มีทั้งจุดร่วมและความแตกต่างที่สำคัญ ทั้งสองเหตุการณ์ล้วนส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาคใต้ชะลอตัวลงในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม ลักษณะของการหยุดชะงักและรูปแบบความเสียหายมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน และหากสรุปในมิติ ผลกระทบเศรษฐกิจภาคใต้ จะเห็นว่าความเสียหายจากโควิดเกิดแบบ “ยืดเยื้อ” แต่ความเสียหายจากน้ำท่วมเกิดแบบ “เฉียบพลันและกระทบโครงสร้าง”
พื้นที่และขอบเขตของผลกระทบ
โควิด-19 เป็นวิกฤตระดับโลก ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในทุกภูมิภาคพร้อมกัน ขณะที่มหาอุทกภัยภาคใต้ ปี 2568 แม้มีความรุนแรงสูง แต่จำกัดอยู่ในพื้นที่ประมาณ 9–10 จังหวัดภาคใต้ สัดส่วนผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศจึงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า โดยกระทรวงการคลังประเมินว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจอยู่ที่ราว 0.1% ของจีดีพี อย่างไรก็ตาม สำหรับเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค ภาคใต้ถือว่าได้รับผลกระทบในระดับที่มีนัยสำคัญ
ระยะเวลาและความต่อเนื่องของวิกฤต
วิกฤตโควิด-19 กินระยะเวลายาวนาน ตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงกลางปี 2565 ธุรกิจจำนวนมากต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดในระยะยาว ท่ามกลางรายได้ที่หดตัวต่อเนื่อง ในทางกลับกัน มหาอุทกภัยภาคใต้เป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและกินระยะเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ แต่สร้างความเสียหายอย่างเข้มข้นในช่วงเวลาสั้น ๆ และต้องการการฟื้นฟูในเชิงโครงสร้างอย่างเร่งด่วน
ลักษณะของผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ
มีวลีที่สรุปลักษณะของสองวิกฤตนี้ได้อย่างกระชับว่า“โควิดหยุดคน แต่น้ำท่วมภาคใต้ ปี 2568 หยุดทั้งระบบเศรษฐกิจ”
ในช่วงโควิด-19 การหยุดชะงักเกิดจากการจำกัดการเคลื่อนย้ายของผู้คน นักท่องเที่ยวหายไป และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ต้องอาศัยการรวมตัวต้องหยุดลงเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม โครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม พลังงาน และระบบสื่อสารยังคงสามารถใช้งานได้ ทำให้ธุรกิจบางส่วนสามารถปรับตัวไปสู่ช่องทางออนไลน์หรือใช้เส้นทางขนส่งทางเลือกได้
ในทางตรงกันข้าม มหาอุทกภัยภาคใต้ส่งผลกระทบต่อองค์ประกอบของระบบเศรษฐกิจพร้อมกัน ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคม ระบบสาธารณูปโภค และกำลังแรงงานในพื้นที่ประสบภัย ความเสียหายจึงไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจชั่วคราว แต่รวมถึงความเสียหายเชิงกายภาพต่ออาคาร เครื่องจักร และสินค้าคงคลัง ซึ่งไม่ปรากฏในวิกฤตโควิด-19
ผลกระทบต่อภาคธุรกิจ
ในช่วงโควิด-19 ธุรกิจจำนวนมาก โดยเฉพาะเอสเอ็มอีในภาคการท่องเที่ยว เผชิญกับปัญหารายได้หดหายและภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้น การปิดกิจการหรือการปรับลดพนักงานส่วนใหญ่เกิดจากแรงกดดันทางการเงิน มากกว่าความเสียหายต่อทรัพย์สินโดยตรง
ขณะที่มหาอุทกภัยภาคใต้ ปี 2568 ส่งผลให้ธุรกิจบางส่วนสูญเสียทรัพย์สิน สต๊อกสินค้า และเครื่องมือการผลิตในทันที การฟื้นฟูกิจการหลังน้ำลดจึงต้องใช้ทั้งเงินลงทุนและระยะเวลาในการซ่อมแซม จากข้อมูล Credit Score ของ Corpus X พบว่ามีธุรกิจจำนวน 16,771 กิจการ ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการปิดตัว หากไม่ได้รับการสนับสนุนหรือมาตรการช่วยเหลืออย่างเหมาะสม ซึ่งเป็นอีกชั้นของความเสี่ยงทางธุรกิจที่ต้องจับตา
แม้วิกฤตทั้งสองจะมีลักษณะแตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือการสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจ ทั้งโรคระบาดและภัยธรรมชาติสามารถทำให้กลไกทางเศรษฐกิจหยุดชะงักได้ เพียงแต่แตกต่างกันในวิธีการ ระยะเวลา และระดับความรุนแรงของผลกระทบ
บทเรียนสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงการซ้ำรอยในอนาคต
บทเรียนจากสองวิกฤตสะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมเชิงระบบ ทั้งในระดับธุรกิจและระดับนโยบาย โดย Corpus X ในฐานะผู้ให้บริการข้อมูลเชิงลึกสำหรับการวางแผนเชิงระบบ สามารถสรุปประเด็นสำคัญได้ดังนี้
การวางแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจภายใต้ความไม่แน่นอน
ภาคธุรกิจควรให้ความสำคัญกับการจัดทำแผนความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan) ที่ครอบคลุมทั้งความเสี่ยงจากโรคระบาดและภัยธรรมชาติ อาทิ การบริหารประกันภัย การสำรองเงินทุนฉุกเฉิน การจัดเก็บข้อมูลและระบบไอทีนอกสถานที่ รวมถึงการออกแบบซัพพลายเชนให้มีความหลากหลาย ลดการพึ่งพาแหล่งวัตถุดิบหรือเส้นทางขนส่งเพียงช่องทางเดียว
การใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีในการพยากรณ์และตัดสินใจ
ข้อมูลเชิงลึกมีบทบาทสำคัญต่อการวางแผนรับมือความเสี่ยงในอนาคต ฐานข้อมูลธุรกิจทั่วประเทศของ Corpus X สามารถนำมาใช้ในการระบุพื้นที่เสี่ยง วิเคราะห์จำนวนธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบ และประเมินมูลค่าความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้า ซึ่งช่วยให้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนสามารถออกแบบมาตรการเชิงนโยบายและการสนับสนุนได้อย่างตรงจุดและทันท่วงที
สองวิกฤตใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงบททดสอบสำคัญของระบบเศรษฐกิจและสังคมไทย วิกฤตโควิด-19 ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นของความยืดหยุ่นในการปรับตัวและการเตรียมพร้อมต่อความเสี่ยงที่ไม่สามารถมองเห็นได้ ขณะที่มหาอุทกภัยภาคใต้ ปี 2568 ตอกย้ำว่าภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ปรากฏชัดเจนสามารถสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจได้ในระดับเดียวกัน หากขาดการวางแผนและการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสม
การหลีกเลี่ยงไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดซ้ำหรือสร้างความเสียหายในระดับเดิม จำเป็นต้องอาศัยการดำเนินการเชิงรุกตั้งแต่ปัจจุบัน ทั้งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่มีความยืดหยุ่น การพัฒนาระบบบริหารความเสี่ยงในระดับองค์กรและระดับนโยบาย รวมถึงการใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงลึกประกอบการตัดสินใจ เพื่อเสริมสร้างความพร้อมของภาคใต้และเศรษฐกิจไทยโดยรวมในการรับมือกับวิกฤตในรูปแบบต่าง ๆ และลดผลกระทบต่อภาคธุรกิจและประชาชนให้อยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้
วิกฤตมหาอุทกภัยภาคใต้ ปี 2568 ไม่ได้เป็นเพียงเหตุการณ์น้ำท่วมที่กระทบการเดินทางหรือชีวิตประจำวัน แต่คือบททดสอบสำคัญของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะกิจการที่พึ่งพาภาคใต้เป็นฐานการผลิต เส้นทางโลจิสติกส์ หรือประตูการค้า ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่สิ่งปลูกสร้าง หากแต่ลามไปถึงต้นทุน การดำเนินงาน และความเชื่อมั่นในห่วงโซ่อุปทาน
เมื่อมองผ่านเลนส์ของอุตสาหกรรม จะเห็นว่าวิกฤตครั้งนี้กระทบแต่ละภาคธุรกิจไม่เท่ากัน ทั้งการท่องเที่ยว โลจิสติกส์ การค้าชายแดน และภาคการผลิต การประเมินผลกระทบจึงต้องอาศัยข้อมูลมากกว่าประสบการณ์หรือภาพข่าวระยะสั้น ฐานข้อมูลธุรกิจของ Corpus X ช่วยให้มองเห็นภาพเชิงระบบได้ชัดขึ้น ตั้งแต่จำนวนธุรกิจในพื้นที่เสี่ยง ความเชื่อมโยงของคู่ค้า ไปจนถึงระดับความเปราะบางของแต่ละอุตสาหกรรม สำหรับเจ้าของกิจการที่ต้องการเริ่มต้นประเมินความเสี่ยงด้วยข้อมูลจริง สามารถ ทดลองใช้ Corpus X ฟรี เพื่อสำรวจข้อมูลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่และคู่ค้าของคุณได้ทันที


