ส่องกลยุทธ์ 5 แบรนด์ไทยเก่าแก่ ที่ปรับตัวอยู่รอดในโลกธุรกิจทุกยุค
- Phannita Yoddamnoen
- 25 ส.ค.
- ยาว 2 นาที

เคยสงสัยกันไหมว่า ทำไมบางแบรนด์ไทยถึงอยู่มาได้หลายสิบปีโดยไม่หลุดจากกระแส? และยังทำรายได้ก้อนโตให้ธุรกิจมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ในวันที่ธุรกิจเกิดใหม่ทุกวัน มีบางธุรกิจล้มหายตายจากเร็วขึ้นเรื่อย ๆ จากภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยอื่น ๆ ที่แต่ละธุรกิจต้องเผชิญ
แต่ยังมี 5 แบรนด์ไทยเก่าแก่ที่อยู่มานาน ยืนหยัด ปรับตัว และเติบโตต่อได้อย่างมั่นคง แม้จะผ่านทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง และพฤติกรรมผู้บริโภคไม่เหมือนเดิม Corpus X จะพาไป “ส่องกลยุทธ์” พร้อมข้อมูลเชิงธุรกิจของ 5 แบรนด์ไทยระดับตำนานที่ยังมีลมหายใจ และมีรายได้หลักร้อยล้านถึงพันล้านต่อปี พร้อมส่งต่อแรงบันดาลใจให้เจ้าของธุรกิจยุคใหม่ในการต่อสู้ท่ามกลางความท้าทายที่อยู่รอบตัว
บริษัท พิบูลย์ชัยน้ำพริกเผาไทยแม่ประนอม จํากัด
เริ่มต้นจดทะเบียนเมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2524 ด้วยทุนจดทะเบียน 59 ล้านบาท ภายใต้ธุรกิจการผลิตและจำหน่ายน้ำพริกเผา น้ำจิ้ม และผลิตภัณฑ์พร้อมปรุงต่าง ๆ แต่รากเหง้าที่แท้จริงของแบรนด์แม่ประนอมกลับเรียบง่ายกว่านั้นมาก
เรื่องราวเริ่มจาก “แม่ประนอม หรือนางประนอม แตงสุภา” ที่ทำ “น้ำพริกเผา” สูตรครอบครัวไปขายที่ตลาดในย่านฝั่งธนฯ ความพิถีพิถันและรสชาติที่ไม่เหมือนใครทำให้ลูกค้าที่ได้ลิ้มลองต่างบอกต่อกันปากต่อปาก จนน้ำพริกเผาแม่ประนอมกลายเป็นที่รู้จักกว้างขวางเกินกว่าตลาดเล็กๆ
สิ่งที่น่าสนใจคือ เป้าหมายในการทำธุรกิจ ของแม่ประนอมไม่ใช่เพียงการขายน้ำพริกให้ได้กำไร แต่คือการทำให้อาหารไทยที่เคยถูกจำกัดอยู่ในครัวบ้าน ๆ กลายเป็น สินค้าที่เข้าถึงคนทุกบ้านได้ง่ายขึ้น โดยยังคงคุณภาพและความจริงใจในรสชาติ “เหมือนแม่ทำให้กิน” เป็นหัวใจสำคัญ
กลยุทธ์ธุรกิจของน้ำพริกเผาไทยแม่ประนอม
เน้นคุณภาพสินค้า ตั้งแต่วันแรกที่แม่ประนอมเริ่มทำน้ำพริกขายที่ตลาด คำที่ลูกค้าจดจำได้เสมอคือ “รสชาติเหมือนทำกินที่บ้าน” ความพิถีพิถันนี้ถูกยึดเป็นหลักการตลอดมา ไม่ว่าจะเป็นการเลือกวัตถุดิบที่สดใหม่ การไม่ใส่วัตถุกันเสียหรือผงชูรส รวมถึงการใช้บรรจุภัณฑ์แก้วเพื่อรักษารสชาติและความปลอดภัย สิ่งเหล่านี้สะท้อนชัดว่า “คุณภาพคือหัวใจ” และเป็นเหตุผลที่ทำให้แบรนด์ยังครองใจผู้บริโภคได้ยาวนาน
ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ทันสมัยและสดใหม่ แม้จะเป็นแบรนด์ที่มีอายุกว่าครึ่งศตวรรษ แต่แม่ประนอมไม่ยึดติดกับภาพลักษณ์เดิมเพียงอย่างเดียว บริษัทมีการปรับบรรจุภัณฑ์และดีไซน์สินค้าให้ดูทันสมัย ใช้สีสันและรูปแบบที่เข้ากับคนรุ่นใหม่มากขึ้น รวมถึงการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เช่น สูตรเพื่อสุขภาพ สูตรไม่มีน้ำตาล หรือขนาดบรรจุภัณฑ์ที่พกพาสะดวก สิ่งเหล่านี้ทำให้แบรนด์เก่าแก่ยังคง “สดใหม่” และสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป
สื่อสารกับผู้บริโภคผ่านกิจกรรมและสื่อใหม่ๆ ในยุคดิจิทัล แม่ประนอมไม่เพียงพึ่งพาการตลาดแบบดั้งเดิม แต่หันมาใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เต็มรูปแบบ เช่น การเปิดตัวแคมเปญ “เชื่อแม่” ที่ชูภาพลักษณ์ของความจริงใจและความใกล้ชิดกับผู้บริโภค นอกจากนี้ ยังมีการทำกิจกรรมร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์ การเข้าร่วมงานแฟร์ด้านอาหาร และการใช้สื่อโซเชียลเพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ สิ่งเหล่านี้ช่วยสร้างการมีส่วนร่วมและทำให้แบรนด์ไม่ถูกมองว่า “เก่าเกินไป” แต่กลับดูเข้าถึงง่ายและร่วมสมัย
บริษัท นันยางอุตสาหกรรม จํากัด
เริ่มต้นจดทะเบียนเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2496 ด้วยทุนจดทะเบียน 45 ล้านบาท ภายใต้ธุรกิจผลิตรองเท้าผ้าใบนันยาง และรองเท้าแตะช้างดาว คือหนึ่งในตำนานรองเท้าของไทยที่อยู่เคียงคู่ผู้คนมายาวนาน กว่า 300 ล้านคู่ ได้ถูกผลิตออกมาและผ่านร้อนผ่านหนาวไปพร้อมกับทั้งคนไทยและผู้ใช้ทั่วโลก ความสบายที่ใส่ง่าย ความทนทานที่ลุยได้ทุกที่ ทำให้รองเท้าคู่นี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร เด็กหรือผู้ใหญ่ รวยหรือจน ต่างเคยมีช้างดาวอยู่ในความทรงจำ
เอกลักษณ์นี้ทำให้รองเท้าไม่เพียงเป็น “สินค้า” หรือ “แฟชั่น” ที่มาแล้วก็ไป แต่กลายเป็น สัญลักษณ์ของความเรียบง่ายและความคงทน ที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น และที่สำคัญที่สุด ช้างดาวได้พิสูจน์แล้วว่า มันคือ “สไตล์” ที่อยู่เหนือกาลเวลา
กลยุทธ์ธุรกิจของนันยาง
พัฒนานวัตกรรมสินค้า แม้จะเป็นรองเท้าที่ถูกมองว่าเรียบง่ายและทนทาน แต่นันยางไม่เคยหยุดพัฒนา พวกเขามุ่งคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ในการออกแบบและวัสดุ เพื่อให้รองเท้ายังคงตอบโจทย์ผู้ใช้ในทุกยุคสมัย ทั้งในเรื่องความสบาย ความปลอดภัย และความทนทาน
ขยายกลุ่มเป้าหมาย Gen Alpha จากที่เคยเป็นรองเท้าคู่ใจของคนไทยรุ่นพ่อแม่และรุ่นวัยเรียน ปัจจุบันนันยางเริ่มขยับเข้าไปหากลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Gen Alpha เด็กๆ ที่เติบโตมาพร้อมเทคโนโลยีและมีมุมมองที่แตกต่าง การเข้าหากลุ่มนี้ไม่เพียงแต่ทำให้รองเท้ายังอยู่ในใจผู้ใช้รุ่นใหม่ แต่ยังช่วยต่ออายุแบรนด์ให้ข้ามผ่านกาลเวลาอย่างแท้จริง
เน้นความคุ้มค่า สิ่งที่ทำให้ช้างดาวยังคงอยู่ในทุกครัวเรือนคือความคุ้มค่า “ใส่ง่าย ใช้นาน และราคาไม่แพง” จุดแข็งนี้ไม่ได้ถูกละทิ้งไปแม้เวลาจะผ่านไปนานหลายสิบปี ในยุคที่ผู้บริโภคมองหาสินค้าที่ตอบโจทย์ทั้งคุณภาพและราคา นันยางยังคงรักษาสมดุลตรงนี้ได้อย่างมั่นคง
สร้างความแตกต่างด้วยนวัตกรรมที่ตอบโจทย์เด็กยุคใหม่ นอกจากความคลาสสิกที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว นันยางยังพยายามเติมความ “สนุก” และ “ความง่าย” ให้กับรองเท้า เช่น การใช้ เชือกยืดหยุ่น (Elastic Lace) ที่ทำให้เด็กๆ ใส่รองเท้าได้สะดวกขึ้น ไม่ต้องเสียเวลาผูกเชือก แต่ยังคงความกระชับเหมือนเดิม นี่คือการปรับดีเทลเล็กๆ ที่สะท้อนการเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้รุ่นใหม่ และสร้างความแตกต่างที่เหนือกว่าคู่แข่ง
บริษัท หยั่น หว่อ หยุ่น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จํากัด
เริ่มต้นจดทะเบียนเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2546 ด้วยทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท ประกอบธุรกิจการผลิตซอสและเครื่องปรุงอาหารประจำโต๊ะ เรื่องราวของซีอิ๊วขาวตราเด็กสมบูรณ์ มันมีจุดเริ่มเริ่มขึ้นในปี 2490 ที่บ้านไม้หลังเล็กในซอยวัดไผ่เงิน โดยคุณวิเชียร ตั้งสมบัติวิสิทธิ์ ที่ใช้พื้นที่ชั้นล่างของบ้านเป็นฐานการผลิตเล็กๆ โดย สมาชิกครอบครัวช่วยกันหมักถั่วเหลือง บ่มในโอ่งมังกร และบรรจุขวดขายด้วยมือ ทุกขั้นตอนเต็มไปด้วยความพิถีพิถันและความตั้งใจ
แม้วันแรกที่เริ่มขายได้เพียง 6 ขวด แต่ความขยัน ความซื่อสัตย์ และรสชาติที่โดดเด่น ทำให้สินค้าเริ่มเป็นที่รู้จักในชุมชน คุณวิเชียรมองการณ์ไกล จึงได้จดทะเบียนเครื่องหมายการค้า ตราเด็กสมบูรณ์ และนำเทคโนโลยีจากญี่ปุ่นมาใช้ในโรงงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและรักษาคุณภาพ
จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ แบรนด์ค่อยๆ ขยายไลน์สินค้า ครอบคลุมทั้งซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำ เต้าเจี้ยว และซอสปรุงรสประเภทต่างๆ พร้อมทั้งขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ ลูกหลานสืบทอดวิสัยทัศน์ของคุณวิเชียร ทำให้ซีอิ๊วตราเด็กสมบูรณ์ค่อยๆ เติบโตขึ้นอย่างมั่นคง
ปรับตัวอย่างยืดหยุ่นเพื่อโอกาสใหม่
กลยุทธ์ธุรกิจของหยั่น หว่อ หยุ่น
ความยืดหยุ่นคือจุดแข็งสำคัญของตราเด็กสมบูรณ์ จากเดิมที่ทำตลาดเฉพาะซีอิ๊วขาวและเต้าเจี้ยว วันนี้แบรนด์ขยายไลน์สินค้าไปสู่เครื่องปรุงรสชนิดต่างๆ ทั้งซอสหอยนางรม น้ำปลา ผงชูรส และซอสปรุงรสสำเร็จรูป ภายใต้แบรนด์ i-Chef ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวก รวดเร็วในการทำอาหาร
ต่อยอดผลิตภัณฑ์สู่ความคิดสร้างสรรค์ ตราเด็กสมบูรณ์ยังทดลองต่อยอดผลิตภัณฑ์เดิมไปสู่เมนูใหม่ เช่น ไอศกรีมรสซีอิ๊วดำพีนัท ซีอิ๊วดำบัตเตอร์ รสบ๊วย และรสเต้าเจี้ยว ทำให้สินค้าที่คนเคยไว้วางใจกลายเป็นนวัตกรรมที่สร้างความสนุกและแตกต่าง
สินค้าสุขภาพตอบเทรนด์ เพื่อตอบสนองผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ แบรนด์ได้ออกสินค้าเช่น น้ำจิ้มสุกี้คีโต ซอสหอยนางรมลดโซเดียม และซอสหวานสูตรลดน้ำตาล ทำให้ตราเด็กสมบูรณ์ยังคงทันสมัยและมีความเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน
ขยายฐานลูกค้าสู่คนรุ่นใหม่ แม้แบรนด์จะได้รับการจดจำจากคนรุ่นก่อนแล้ว แต่การ รีแบรนด์ดิ้ง เป็นสิ่งสำคัญ ตราเด็กสมบูรณ์เปิดตัวพรีเซนเตอร์ครอบครัวตันจรารักษ์ พร้อมคู่แฝดพีร์-ธีร์ ที่โด่งดังในกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยภาพคู่แฝดถูกใส่บนโลโก้ผลิตภัณฑ์ ทำให้แบรนด์เข้าถึงทั้งคนรุ่นเก่าและใหม่
การตลาดออนไลน์เข้าถึงง่าย นอกจากการขายส่งและหน้าร้าน แบรนด์ยังทำการตลาดออนไลน์อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะบน TikTok ที่มีผู้ติดตามกว่า 62,000 คน มียอดไลค์รวม 1.9 ล้านครั้ง ช่องทางนี้ใช้เล่าเรื่องราวแบรนด์ ถ่ายทอดความเป็นมาของโลโก้ การทำงานในบริษัท รวมถึงกิจกรรมและสินค้าใหม่ ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงแบรนด์ได้ง่ายและรู้จักตราเด็กสมบูรณ์ในทุกเจเนอเรชัน
บริษัท โรงงานไทยแลนด์นิตติ้ง จำกัด
เริ่มต้นจดทะเบียนวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2499 ด้วยทุนจดทะเบียน 160 ล้านบาท ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายเสื้อหาสำเร็จรูป หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “ตราห่านคู่” เรื่องราวของ “ห่านคู่” เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2496 ในตรอกโกดังเล็ก ๆ แถว ทรงวาด กรุงเทพฯ กลุ่มเพื่อนชาวจีนที่เพิ่งอพยพมาจากฮ่องกงรวมตัวกัน สร้างธุรกิจนำเข้าสินค้า หนึ่งในนั้นคือเสื้อยืด พวกเขาเริ่มต้นด้วยความตั้งใจอยากสร้างเสื้อผ้าที่เหมาะกับอากาศเมืองร้อน ให้ใส่แล้วสบายตัว
ทุกขั้นตอนการผลิตถูกใส่ใจด้วยมือ ตั้งแต่การคัดสรรฝ้ายคุณภาพสูง การทออย่างพิถีพิถัน จนถึงการตัดเย็บด้วยช่างฝีมือ ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงไม่ใช่แค่เสื้อ แต่คือ ความตั้งใจและความเอาใจใส่ที่ผู้สวมใส่สัมผัสได้
วันแรก ๆ ขายเพียงไม่กี่โหลในตลาดท้องถิ่น แต่ด้วยความทุ่มเทและคุณภาพที่ไม่ลดละ แบรนด์ค่อย ๆ เติบโต จนจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า “ห่านคู่” และขยายตลาดไปยังห้างสรรพสินค้าและต่างจังหวัด หลังจากนั้นห่านคู่จึงไม่ใช่แค่เสื้อยืด แต่เป็นผลลัพธ์ของความร่วมมือหลายครอบครัว การมุ่งมั่น และความใส่ใจในรายละเอียด จากบ้านเล็ก ๆ ในตรอกโกดังสู่แบรนด์ที่คนไทยหลายรุ่นยังคงไว้วางใจและภูมิใจใส่
กลยุทธ์ธุรกิจของตราห่านคู่
ขยายช่องทางจำหน่ายสู่โมเดิร์นเทรดและออนไลน์ ห่านคู่เริ่มจากการขายในตลาดท้องถิ่นและร้านค้าชุมชน ก่อนค่อย ๆ ขยายสู่ โมเดิร์นเทรด เช่น ห้างสรรพสินค้าและร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคที่หลากหลายมากขึ้น นอกจากนี้แบรนด์ยังเพิ่ม ช่องทางออนไลน์ ทั้งเว็บไซต์และแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ รวมถึงสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อได้สะดวกและรวดเร็ว ไม่จำกัดว่าต้องอยู่ใกล้ร้าน ทำให้แบรนด์เข้าถึงไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่ได้เต็มที่
เน้นการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทุกเจนเนอเรชั่น แบรนด์ห่านคู่ให้ความสำคัญกับการตอบโจทย์ ผู้บริโภคทุกวัย เสื้อยืดบางรุ่นคงความคลาสสิกเพื่อคนรุ่นเก่า ให้ความรู้สึกคุ้นเคยและไว้วางใจ ส่วนคอลเลกชันใหม่ปรับดีไซน์และสีสันให้ทันสมัย เหมาะกับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการแฟชั่นและความสนุกสนาน ทำให้แบรนด์สามารถสร้าง ความผูกพันระหว่างหลายเจเนอเรชั่น และเป็นตัวเลือกที่ครอบคลุมทั้งครอบครัว
เน้นคุณภาพสินค้า คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพ หัวใจสำคัญของห่านคู่คือ คุณภาพสินค้า ทุกชิ้นคัดสรร ฝ้ายและวัตถุดิบชั้นดี ผ่านกระบวนการทอและตัดเย็บอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้เสื้อยืดมีความ สบาย ทนทาน และใช้งานได้นาน นอกจากนี้แบรนด์ยังควบคุมคุณภาพทุกขั้นตอนอย่างเข้มงวด ตั้งแต่การผลิตจนถึงการจัดจำหน่าย เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจว่าทุกครั้งที่ใส่เสื้อห่านคู่ จะได้ทั้งความสบายและคุณภาพที่เหนือกว่าตลาดทั่วไป
ทำแคมเปญร่วมกับแบรนด์อื่น ในโอกาสครบรอบ 69 ปีของห่านคู่ แบรนด์ได้ร่วมมือกับ “นันยาง” จัดแคมเปญพิเศษ เพื่อเชื่อมโยงทุกคนเข้าด้วยกันและสร้างความทรงจำร่วม แคมเปญที่ถูกพูดถึงมากที่สุดคือ “จดหมายถึงคุณ…คนธรรมดา” ซึ่งกลายเป็นกระแสไวรัลบนโซเชียลมีเดีย ถ่ายทอดแนวคิด ‘ธรรมดาที่ทำมาดี’ สะท้อนความหมายลึกซึ้งและสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คน
บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด
เริ่มต้นจดทะเบียนวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531 ด้วยทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท ประกอบธุรกิจการขายส่งเครื่องสำอาง เรื่องราวของศรีจันทร์สหโอสถ เริ่มต้นจากห้างขายยาขนาดเล็กในกรุงเทพฯ ก่อตั้งโดยคุณพงษ์ หาญอุตสาหะในปี พ.ศ. 2491 ด้วยการนำสูตรผงหอมจากหมอเหล็ง ศรีจันทร์ มาผลิตและจำหน่าย สินค้าของร้านได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในกลุ่มผู้บริโภคยุคนั้น เนื่องจากคุณภาพและความใส่ใจในรายละเอียดตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบจนถึงการจัดจำหน่าย
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นเมื่อคุณรวิศ หาญอุตสาหะ ทายาทรุ่นที่ 3 เข้ามารับช่วงบริหารในปี พ.ศ. 2549 ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ทันสมัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เทียบเท่าเครื่องสำอางระดับโลก ทั้งในด้านสูตรและบรรจุภัณฑ์ ทำให้ศรีจันทร์สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่และสร้างความเชื่อมั่นในคุณภาพของแบรนด์ได้อย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบัน ศรีจันทร์สหโอสถเติบโตอย่างแข็งแกร่งทั้งในและต่างประเทศ ด้วยกลยุทธ์ "Purposeful Brand" ที่มุ่งรักษาเอกลักษณ์ความเป็นไทย พร้อมขยายตลาดสกินแคร์และเครื่องสำอางไปยังญี่ปุ่น จีน ลาว และประเทศอื่น ๆ ผลลัพธ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จจากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในอดีตสู่แบรนด์ไทยที่ได้รับความไว้วางใจและยอมรับในระดับสากล
กลยุทธ์ธุรกิจของศรีจันทร์
เลือกพรีเซนเตอร์ที่สะท้อนความเป็นไทย ศรีจันทร์ใช้กลยุทธ์เลือกพรีเซนเตอร์และทำแคมเปญที่ สะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทย เพื่อสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับผู้บริโภค พรีเซนเตอร์ไม่เพียงเป็นหน้าตาของแบรนด์ แต่ยังเป็นตัวแทนค่านิยมและคุณค่าของความเป็นไทย ทำให้ผู้บริโภครู้สึกภาคภูมิใจและไว้วางใจในผลิตภัณฑ์
สร้างแบรนด์ให้เป็นที่ยอมรับในระดับภูมิภาค การสร้างความน่าเชื่อถือและการยอมรับในตลาดภูมิภาคต้องมาพร้อมกับ คุณภาพสินค้าและภาพลักษณ์แบรนด์ ศรีจันทร์จึงมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ทันสมัยและได้มาตรฐานสากล พร้อมบรรจุภัณฑ์ที่โดดเด่น ช่วยให้แบรนด์เป็นที่จดจำ และสร้างความมั่นใจทั้งในตลาดไทยและตลาดเพื่อนบ้าน
ขยายตลาดต่างประเทศสู่อาเซียนและเอเชีย ศรีจันทร์ไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่แค่ตลาดในประเทศ แต่เลือกขยายไปยัง ตลาดอาเซียนและเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จีน ลาว และเวียดนาม เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ การขยายตลาดนี้ไม่ได้ทำเพียงเพื่อยอดขาย แต่เพื่อสร้างการรับรู้และยกระดับแบรนด์ไทยสู่ระดับนานาชาติ
เน้นสร้างแบรนด์และการรับรู้ การสร้างแบรนด์ให้ติดตลาดต้องทำทั้ง การตลาดออนไลน์และออฟไลน์ ศรีจันทร์ใส่ใจการเล่าเรื่องราวความเป็นมา คุณค่า และวัฒนธรรมของแบรนด์ ทำให้ผู้บริโภครู้สึกเข้าถึงง่ายและจดจำแบรนด์ได้ นอกจากนี้ยังเน้น กลยุทธ์เชิงสัมพันธ์ (relationship marketing) เพื่อสร้างความภักดีของผู้บริโภคในระยะยาว

แม้แต่แบรนด์ไทยเก่าแก่ที่มีประวัติยาวนาน ก็ยังต้องปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ อยู่รอดในโลกธุรกิจทุกยุค ทั้ง 5 แบรนด์ที่เราส่องกลยุทธ์ธุรกิจมาวันนี้ แสดงให้เห็นว่าความสำเร็จไม่ได้มาจากชื่อเสียงหรือความเก่าแก่เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความเข้าใจลูกค้า การพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง การสื่อสารที่ตรงใจ และการขยายตัวสู่ตลาดใหม่ทั้งในและต่างประเทศ
ไม่ว่าจะเป็นการเลือกพรีเซนเตอร์ที่สะท้อนตัวตนแบรนด์ การรีแบรนด์ให้ทันสมัย การสร้างสรรค์คอลเลกชันใหม่ หรือการใช้ช่องทางออนไลน์และโมเดิร์นเทรดเพื่อเข้าถึงลูกค้าหลายเจเนอเรชั่น ทุกแบรนด์เป็นตัวอย่างของ ธุรกิจดาวรุ่งไทยแบรนด์ไทยอยู่มานาน ที่มีกลยุทธ์ยืดหยุ่นและตอบสนอง แนวโน้มธุรกิจ (Business Trend) ได้อย่างชัดเจน จาก 5 แบรนด์นี้สะท้อนว่า การสร้างแบรนด์ให้ยั่งยืนต้องผสมผสาน รากฐานดั้งเดิมกับนวัตกรรมสมัยใหม่ เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้แบรนด์ไม่เพียงอยู่รอด แต่ยังเติบโตและสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นต่อไปต่อยอดความสำเร็จอย่างไม่หยุดยั้ง
หากคุณอยากติดตามข้อมูลเชิงลึกและรายงานงบการเงินของบริษัทที่คุณสนใจ เพื่อวิเคราะห์กลยุทธ์และแนวโน้มธุรกิจ สามารถใช้ Corpus X B2B Data Analytics Platform ซึ่งเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจด้วย ฐานข้อมูลเชิงลึกกว่า 2 ล้านบริษัททั่วประเทศไทย อัปเดตเร็วที่สุดและมีคุณภาพสูง ดูข้อมูลย้อนหลังได้กว่า 20 ปี พร้อมให้คุณ ทดลองใช้ Corpus X ฟรี เพื่อเข้าใจตลาดและตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้แม่นยำยิ่งขึ้น


