ไทม์ไลน์สงครามการค้า ภาษีทรัมป์ 2.0 สั่นสะเทือนเศรษฐกิจโลก
- Phannita Yoddamnoen
- 22 ส.ค.
- ยาว 5 นาที

วันที่โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศเริ่มสงครามการค้า เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่โลกจะจำได้ยาวนาน “Trump’s Tariff” หรือ “ภาษีทรัมป์” ส่งผลกระทบต่อหลักการค้าโลกอย่างชัดเจน ทำให้ธุรกิจต้องปรับตัวใหม่ทั้งหมด
ภาษีนำเข้าสหรัฐที่ตามมาไม่ได้จำกัดแค่ในสหรัฐ แต่ส่งผลต่อธุรกิจทั่วโลก ธุรกิจส่งออกไทยซึ่งเคยเติบโตอย่างมั่นคง ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่กฎเกณฑ์เดิมใช้ไม่ได้อีก จากตัวเลขที่เคยเติบโตอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นกราฟที่ตกหรือพุ่งขึ้นอย่างไม่คาดคิด เมื่อสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าอย่างฉับพลัน ธุรกิจไทยทุกขนาด ตั้งแต่รายใหญ่จนถึง SME ต้องเผชิญกับช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง
บทความนี้จะพาคุณเดินทางผ่าน ไทม์ไลน์ของสงครามภาษีทรัมป์ 2.0 ตั้งแต่เดือนมกราคม 2025 ที่เริ่มประกาศภาษี จนถึงเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยเข้าใจภาพรวมของเหตุการณ์และเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ตอนที่ 1 การเริ่มต้นยุคทรัมป์และการประกาศนโยบายภาษี (มกราคม – กุมภาพันธ์ 2025)

20 มกราคม 2568 ทรัมป์สาบานตนรับตำแหน่ง และย้ำแนวทาง “เก็บภาษีศุลกากรจากต่างประเทศเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้คนอเมริกัน” พร้อมพูดถึงการจัดตั้งหน่วยงาน External Revenue Service (ซึ่งจนถึงปัจจุบันยังไม่เกิดขึ้น) และประกาศแผนเก็บภาษีศุลกากร 25% จากแคนาดาและเม็กซิโกตั้งแต่ 1 ก.พ. แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับภาษีนำเข้าจากจีน
26 มกราคม 2568 ทรัมป์ประกาศเตรียมเก็บภาษีศุลกากร 25% ต่อสินค้านำเข้าจากโคลอมเบีย หลังโคลอมเบียปฏิเสธเครื่องบินทหารสหรัฐฯ ที่บรรทุกผู้อพยพเข้าประเทศ ประธานาธิบดีเปโตรตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้าสหรัฐฯ 25% แต่ภายหลังยอมรับเที่ยวบินดังกล่าวและยกเลิกมาตรการ ทำให้ทั้งสองประเทศส่งสัญญาณยุติข้อพิพาท
1 กุมภาพันธ์ 2568 ทรัมป์ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร เก็บภาษีนำเข้า 25% จากเม็กซิโกและแคนาดา และ 10% สำหรับสินค้าจากจีน มีผล 4 ก.พ. เขาใช้อำนาจนี้ภายใต้ “ภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ” โดยอ้างเหตุผลด้านผู้อพยพผิดกฎหมายและการค้ายาเสพติด → ทำให้ทั้งสามประเทศไม่พอใจและประกาศเตรียมตอบโต้
3 กุมภาพันธ์ 2568 ทรัมป์ยอมชะลอการเก็บภาษีต่อเม็กซิโกและแคนาดาออกไป 30 วัน ขณะที่สองประเทศเริ่มหารือแก้ปัญหาชายแดนและยาเสพติด
4 กุมภาพันธ์ 2568 มาตรการเก็บภาษี 10% สำหรับสินค้าจากจีน เริ่มมีผล จีนตอบโต้ทันทีด้วยการเก็บภาษีใหม่ต่อสินค้าสหรัฐฯ และเปิดการสอบสวน Google พร้อมประกาศภาษี 15% สำหรับถ่านหิน-ก๊าซธรรมชาติเหลว และ 10% สำหรับน้ำมันดิบ เครื่องจักรการเกษตร และรถยนต์เครื่องยนต์ใหญ่ (เริ่มใช้ 10 ก.พ.)
10 กุมภาพันธ์ 2568 ทรัมป์ประกาศแผนขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม เริ่มมีผลวันที่ 12 มีนาคม โดยยกเลิกการยกเว้นจากมาตรการภาษีเหล็กปี 2018 ทำให้เหล็กนำเข้าทั้งหมดต้องเสียภาษีอย่างน้อย 25% และปรับขึ้นภาษีอะลูมิเนียมจาก 10% เป็น 25%
13 กุมภาพันธ์ 2568 ทรัมป์เสนอแผน “ภาษีตอบโต้” กำหนดเก็บภาษีสินค้านำเข้าตามอัตราที่ประเทศคู่ค้าจัดเก็บกับสหรัฐฯ โดยระบุว่ามาตรการนี้เพื่อ “ความยุติธรรม” แต่นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าจะสร้างความโกลาหลในระบบการค้าทั่วโลก และอาจกระทบประเทศอื่น เช่น อินเดียและยุโรป ที่จะไม่ได้รับการยกเว้น
25 กุมภาพันธ์ 2568 ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร สั่งให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาว่าควรเก็บภาษีนำเข้าทองแดงหรือไม่เพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติ โดยให้เหตุผลว่าทองแดงถูกใช้ในด้านกลาโหม โครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยีเกิดใหม่ของสหรัฐฯ
ตอนที่ 2 การปรับมาตรการภาษีและการตอบโต้ระหว่างประเทศ (มีนาคม 2025)

1 มีนาคม 2568 ทรัมป์ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารใหม่ ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาการเก็บภาษีนำเข้าไม้และไม้ซุง โดยให้เหตุผลว่าอุตสาหกรรมก่อสร้างและกองทัพต้องพึ่งพาซัพพลายไม้ภายในประเทศเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ
4 มีนาคม 2568 มาตรการเก็บภาษี 25% ต่อสินค้านำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก เริ่มมีผลบังคับใช้ (ยกเว้นสินค้าพลังงานจากแคนาดาที่เก็บเพียง 10%) และเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็น 20% จากเดิม ทั้งสามประเทศประกาศเตรียมตอบโต้ทันที / แคนาดา นายกฯ จัสติน ทรูโด ประกาศภาษีตอบโต้สินค้าสหรัฐฯ มูลค่า 100 พันล้านดอลลาร์ ภายใน 21 วัน / เม็กซิโก ปธน. คลอเดีย ไชน์บาว์ม ระบุว่าจะตอบโต้เช่นกัน แต่ยังไม่กำหนดรายการสินค้า พร้อมส่งสัญญาณอยากลดความตึงเครียด / จีน ประกาศภาษีสูงสุด 15% ต่อสินค้าการเกษตรหลักจากสหรัฐฯ มีผล 10 มีนาคม และเพิ่มบริษัทสหรัฐฯ ใน “บัญชีควบคุมการส่งออก” อีก 24 แห่ง
5 มีนาคม 2568 ทรัมป์ให้ข้อยกเว้นหนึ่งเดือนต่อภาษีใหม่ที่กระทบสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดาสำหรับผู้ผลิตรถยนต์สหรัฐฯ หลังจากได้พูดคุยกับผู้นำของ “บิ๊ก 3” ผู้ผลิตรถยนต์ Ford, General Motors และ Stellantis
6 มีนาคม 2568 ทรัมป์ขยายเวลายกเว้นภาษี 25% สำหรับสินค้าบางรายการจากเม็กซิโกและแคนาดาออกไปอีก 1 เดือน แต่ยังยืนยันแผนเก็บ “ภาษีตอบโต้แบบเท่าเทียม” ในวันที่ 2 เมษายน ทรัมป์ให้เครดิตกับไชน์บาว์มว่ามีความคืบหน้าในเรื่องความมั่นคงชายแดนและการลักลอบค้ายา จึงเป็นเหตุผลในการเลื่อนเก็บภาษีอีกครั้ง การดำเนินการนี้ยังทำให้ความสัมพันธ์กับแคนาดาผ่อนคลายลงบ้าง แม้ยังมีความไม่พอใจและความไม่แน่นอนอยู่ก็ตาม หลังจากเก็บภาษีตอบโต้ชุดแรกมูลค่า 30,000 ล้านดอลลาร์แคนาดา (21,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) กับสินค้าสหรัฐฯ รัฐบาลแคนาดาประกาศระงับการเก็บภาษีตอบโต้ชุดที่สอง มูลค่า 125,000 ล้านดอลลาร์แคนาดา (87,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
10 มีนาคม 2568 ภาษีตอบโต้ของจีน 15% สำหรับสินค้าสหรัฐฯ ทางการเกษตรหลัก เช่น ไก่ เนื้อหมู ถั่วเหลือง และเนื้อวัว มีผลบังคับใช้ สินค้าที่อยู่ระหว่างการขนส่งจะได้รับการยกเว้นจนถึงวันที่ 12 เมษายน ตามประกาศก่อนหน้านี้ของกระทรวงพาณิชย์จีน
12 มีนาคม 2568 มาตรการภาษีใหม่ของสหรัฐฯ สำหรับเหล็กและอะลูมิเนียม มีผลบังคับใช้ โดยเก็บ 25% ทั่วกระดาน (เหล็กถูกยกเลิกการยกเว้น, อะลูมิเนียมปรับขึ้นจาก 10% เป็น 25%) โดยสหภาพยุโรป ประกาศตอบโต้ เก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ มูลค่า 26 พันล้านยูโร (28 พันล้านดอลลาร์) ครอบคลุมทั้งเหล็ก อะลูมิเนียม สิ่งทอ เครื่องใช้ในบ้าน และสินค้าเกษตร (รวมถึงมอเตอร์ไซค์ บูร์บอง เนยถั่ว และยีนส์) แต่จะเลื่อนบังคับใช้ถึงกลางเมษายน และแคนาดา เตรียมเก็บภาษีตอบโต้สินค้าสหรัฐฯ มูลค่า 29.8 พันล้านดอลลาร์แคนาดา (20.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เริ่ม 13 มีนาคม
13 มีนาคม 2568 ทรัมป์ขู่จะเก็บภาษีนำเข้าไวน์ แชมเปญ และสุราจากยุโรปในอัตรา 200% หากสหภาพยุโรปเดินหน้าตามแผนเดิมที่จะเก็บภาษี 50% กับวิสกี้จากสหรัฐฯ
24 มีนาคม 2568 ทรัมป์ประกาศว่าจะเก็บภาษี 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศที่ซื้อน้ำมันหรือก๊าซจากเวเนซุเอลา นอกจากนี้ยังจะเก็บภาษีนำเข้าใหม่กับเวเนซุเอลาโดยตรง เริ่มตั้งแต่วันที่ 2 เมษายน มาตรการนี้น่าจะกระทบจีนมากที่สุด เพราะในปี 2023 จีนเป็นผู้ซื้อน้ำมันจากเวเนซุเอลามากถึง 68% ตามข้อมูลของสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) แต่ก็ยังมีอีกหลายประเทศที่นำเข้าน้ำมันจากเวเนซุเอลา รวมถึงสหรัฐฯ เองด้วย
26 มีนาคม 2568 ทรัมป์ประกาศเก็บภาษี 25% สำหรับการนำเข้ารถยนต์ มีผล 3 เมษายน โดยเริ่มจากรถยนต์นำเข้าเต็มคัน ก่อนขยายไปยังชิ้นส่วนยานยนต์ภายในสัปดาห์ถัดไป และจะดำเนินต่อเนื่องถึง 3 พฤษภาคม ทำเนียบขาวให้เหตุผลว่ามาตรการนี้เพื่อส่งเสริมการผลิตในประเทศ แต่ผู้ผลิตรถยนต์กังวลเรื่องต้นทุนและห่วงโซ่อุปทานโลก
ตอนที่ 3 ภาษี “ต่างตอบแทน” และสงครามการค้าครั้งใหญ่ (เมษายน 2025)

2 เมษายน 2568 ทรัมป์ประกาศมาตรการ “ภาษีต่างตอบแทน” (Reciprocal Tariffs) โดยกำหนดขั้นต่ำ 10% สำหรับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศ และเพิ่มอัตราที่สูงขึ้นกับประเทศที่สหรัฐฯ ขาดดุลการค้า เช่น จีน 34% (นอกเหนือจากภาษี 20% ที่ประกาศเมื่อต้นปี) สหภาพยุโรป 20% เกาหลีใต้ 25% ญี่ปุ่น 24% และไต้หวัน 32% โดยภาษีเหล่านี้จะบวกเพิ่มจากอัตราเดิม ขณะที่สินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโกซึ่งอยู่ภายใต้ข้อตกลง USMCA ยังเข้ามาได้แบบปลอดภาษี แต่สินค้าที่ไม่เข้าข่ายจะถูกเก็บภาษี 25% ซึ่งอาจลดเหลือ 12% หากสองประเทศปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ในเรื่องการอพยพและการค้ายาเสพติด
3 เมษายน 2568 ภาษีนำเข้ารถยนต์ที่ทรัมป์ประกาศไว้ก่อนหน้านี้เริ่มมีผล นายกรัฐมนตรีมาร์ก คาร์นีย์ ของแคนาดากล่าวว่า แคนาดาจะเก็บภาษีรถยนต์นำเข้าจากสหรัฐฯ ในอัตรา 25% เช่นกัน
4 เมษายน 2568 จีนประกาศเก็บภาษี 34% กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ทั้งหมด เริ่มมีผล 10 เมษายน เพื่อตอบโต้ “ภาษีต่างตอบแทน” ของทรัมป์ พร้อมเพิ่มมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากที่ใช้ในชิปและแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า และขึ้นบัญชีบริษัทอีก 27 แห่งเข้าสู่รายชื่อที่ถูกจำกัดด้านการค้าและการส่งออก
5 เมษายน 2568 ภาษีขั้นต่ำ 10% ของทรัมป์สำหรับเกือบทุกประเทศและดินแดนเริ่มมีผลบังคับใช้
9 เมษายน 2568 อัตรา “ภาษีต่างตอบแทน” ที่สูงขึ้นของทรัมป์เริ่มมีผลหลังเที่ยงคืนก่อนถูกระงับส่วนใหญ่ไว้ 90 วัน โดยคงอัตรา 10% สำหรับสินค้านำเข้าทั่วโลกเกือบทั้งหมด แต่กลับเพิ่มภาษีต่อจีนรวมเป็น 104% และประกาศขยับเป็น 125% ทันที ทำให้สงครามภาษียิ่งรุนแรง ขณะที่จีนเตรียมเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ 84% เริ่ม 10 เมษายน แคนาดาเก็บภาษี 25% ต่อรถยนต์สหรัฐฯ ที่ไม่เป็นไปตาม USMCA และสหภาพยุโรปมีมติเรียกเก็บภาษีตอบโต้สินค้าสหรัฐฯ มูลค่า 20.9 พันล้านยูโร โดยจะทยอยบังคับใช้ตั้งแต่ 15 เมษายน, 15 พฤษภาคม และ 1 ธันวาคม
10 เมษายน 2568 ทำเนียบขาวชี้แจงว่าภาษี 125% ที่ทรัมป์ประกาศจริงคือ 145% เมื่อรวมภาษีสารเฟนทานิล 20% โดยสหภาพยุโรปเลื่อนการเก็บภาษีตอบโต้เหล็ก–อะลูมิเนียมออกไป 90 วันเพื่อสอดคล้องกับการพัก “ภาษีต่างตอบแทน” ของสหรัฐฯ โดยอูร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ระบุว่าต้องการให้โอกาสการเจรจากับสหรัฐฯ แต่เตือนว่าจะดำเนินมาตรการตอบโต้หากผลเจรจาไม่น่าพอใจ
11 เมษายน 2568 จีนประกาศเพิ่มภาษีสินค้าสหรัฐฯ จาก 84% เป็น 125% เริ่ม 12 เมษายน เพื่อตอบโต้สหรัฐฯ ขณะที่รัฐบาลทรัมป์ยกเว้นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ตโฟนและแล็ปท็อปจาก “ภาษีต่างตอบแทน” แต่ย้ำว่าเป็นเพียงชั่วคราว โดยรัฐมนตรีพาณิชย์ส่งสัญญาณว่าภาษีเฉพาะกลุ่มสำหรับเซมิคอนดักเตอร์จะมาถึงภายใน 1–2 เดือน และภาษีประเภทอื่นสำหรับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์บางชนิดจากจีนยังคงมีอยู่
14 เมษายน 2568 ทรัมป์ระบุว่าอาจยกเว้นอุตสาหกรรมยานยนต์ชั่วคราวจากภาษีที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้เพื่อให้เวลาผู้ผลิตปรับห่วงโซ่อุปทาน ขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มสอบสวนนำเข้าชิปคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ผลิตชิป และยารักษาโรค พร้อมเปิดรับความเห็นสาธารณะใน 3 สัปดาห์ และประกาศยุติข้อตกลงปี 2019 ที่ระงับการสอบสวนการทุ่มตลาดมะเขือเทศจากเม็กซิโก ทำให้ตั้งแต่ 14 กรกฎาคม มะเขือเทศส่วนใหญ่จากเม็กซิโกจะถูกเก็บภาษี 20.91%
29 เมษายน 2568 ทรัมป์ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อผ่อนปรนภาษี 25% สำหรับรถยนต์และชิ้นส่วนบางประเภทเป็นเวลา 1 ปี โดยให้เงินคืนภาษี 3.75% ของราคารถที่ประกอบในสหรัฐฯ ในปีแรก (จากการเก็บภาษีชิ้นส่วนคิดเป็น 15% ของราคารถ) และในปีที่สอง เงินคืนจะลดเหลือ 2.5% ครอบคลุมเฉพาะชิ้นส่วนที่มีสัดส่วนเล็กลง
ตอนที่ 4 ข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศและการปรับปรุงภาษี (พฤษภาคม – กรกฎาคม 2025)

3 พฤษภาคม 2568 รอบล่าสุดของภาษีนำเข้ารถยนต์ของทรัมป์เริ่มมีผลบังคับใช้ ภาษี 25% ที่ประกาศก่อนหน้านี้ ถูกนำไปใช้กับชิ้นส่วนรถยนต์นำเข้าหลากหลายประเภท
4 พฤษภาคม 2568 ทรัมป์ขู่ว่าจะเก็บภาษี 100% กับภาพยนตร์ที่ผลิตจากต่างประเทศ พร้อมกล่าวว่าภาคอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในสหรัฐฯ กำลังเสื่อมถอย ยังไม่ชัดเจนว่าภาษีดังกล่าวกับการผลิตระหว่างประเทศจะสามารถดำเนินการได้อย่างไร แต่ทรัมป์กล่าวว่าเขาได้มอบอำนาจให้กระทรวงพาณิชย์และตัวแทนการค้าสหรัฐฯ “เริ่มกระบวนการทันที”
8 พฤษภาคม 2568 สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรประกาศข้อตกลงการค้าที่จะลดภาระภาษีและเปิดโอกาสเข้าตลาดต่างประเทศมากขึ้นสำหรับสินค้าสหรัฐฯ โดยสหราชอาณาจักรระบุว่าจะลดภาษีนำเข้ารถยนต์จาก 27.5% เหลือ 10% สำหรับโควต้า 100,000 คัน ยกเลิกภาษีเหล็กและอลูมิเนียม เพิ่มการซื้อเนื้อวัวและเอทานอลจากสหรัฐฯ และทำให้กระบวนการศุลกากรง่ายขึ้น แม้ภาษีพื้นฐาน 10% ของทรัมป์ต่อสินค้าสหราชอาณาจักรยังคงอยู่ ขณะเดียวกัน สหภาพยุโรปเผยแพร่รายชื่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ที่จะถูกเก็บภาษีตอบโต้หากไม่สามารถยุติสงครามภาษีของทรัมป์ได้ พร้อมเตรียมดำเนินการทางกฎหมายที่องค์การการค้าโลก (WTO) เกี่ยวกับ “ภาษีตอบโต้” ที่สหรัฐฯ กำหนดกับหลายประเทศทั่วโลกเมื่อเดือนก่อน
12 พฤษภาคม 2568 สหรัฐฯ และจีนตกลงที่จะลดภาษีส่วนใหญ่ที่แต่ละประเทศเคยกำหนดต่อกัน และประกาศหยุดยิงทางการค้าชั่วคราว 90 วัน รัฐบาลทรัมป์กล่าวว่าจะลดภาษี 145% ที่เคยเก็บกับสินค้านำเข้าจากจีนลงเหลือ 30% ขณะที่จีนกล่าวว่าจะลดภาษี 125% กับสินค้าสหรัฐฯ เหลือ 10%
23 พฤษภาคม 2568 ทรัมป์ขู่ว่าจะเก็บภาษี 25% กับผลิตภัณฑ์ Apple หาก iPhone ไม่ผลิตในสหรัฐฯ ทำให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่นี้กลายเป็นเป้าภาษีล่าสุด ขณะที่ซีอีโอ Tim Cook ระบุว่า iPhone ส่วนใหญ่สำหรับตลาดสหรัฐฯ จะมาจากอินเดีย และ iPad กับอุปกรณ์อื่น ๆ จะนำเข้าจากเวียดนาม พร้อมกันนี้ทรัมป์ยังขู่ว่าจะเก็บภาษี 50% กับสินค้านำเข้าทั้งหมดจากสหภาพยุโรป 27 ประเทศ เริ่ม 1 มิถุนายน โดยอ้างผ่านโพสต์บน Truth Social ว่าการเจรจาการค้ากับสหภาพยุโรป “ไปไม่ถึงไหน”
25 พฤษภาคม 2568 ทรัมป์กล่าวว่าเขาจะเลื่อนภาษี 50% กับสหภาพยุโรปไปจนถึง 9 กรกฎาคม เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายมีเวลามากขึ้นสำหรับการเจรจา ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นหลังจากการสนทนาทางโทรศัพท์กับ Ursula von der Leyen ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป
3 มิถุนายน 2568 ทำเนียบขาวประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็ก อะลูมิเนียม และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องเป็น 50% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 4 มิถุนายน 2025 ภายใต้มาตรา 232 ที่เริ่มใช้ครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2018 ขณะที่เหล็กและอะลูมิเนียมจากสหราชอาณาจักรยังคงใช้อัตรา 25% แต่จะมีการปรับเปลี่ยนหรือกำหนดโควตาตั้งแต่ 9 กรกฎาคม 2025 เป็นต้นไป ขึ้นอยู่กับความคืบหน้าของข้อตกลงความร่วมมือด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ–สหราชอาณาจักรที่ประกาศครั้งแรกเมื่อ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา
4 มิถุนายน 2568 การขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมมีผลบังคับใช้ สหรัฐฯ ประกาศปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าเหล็ก อะลูมิเนียม และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องเป็น 50% เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน และขณะนี้มีผลบังคับใช้แล้ว โดยการส่งออกจากสหราชอาณาจักรยังคงใช้อัตราภาษีที่ 25% ตามเดิม
11 มิถุนายน 2568 ทรัมป์ประกาศข้อตกลงกับจีนบน Truth Social หลังการเจรจา 2 วันระหว่างคณะผู้แทนสหรัฐฯ และจีนที่กรุงลอนดอน โดยระบุว่า “OUR DEAL WITH CHINA IS DONE, SUBJECT TO FINAL APPROVAL WITH PRESIDENT XI AND ME.” แม้ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางกฎหมายหรือการเปลี่ยนแปลงเรื่องภาษีนำเข้า แต่ทรัมป์ระบุเพิ่มเติมว่า “FULL MAGNETS, AND ANY NECESSARY RARE EARTHS, WILL BE SUPPLIED, UP FRONT, BY CHINA” ซึ่งคาดว่าเป็นการตอบสนองต่อข้อจำกัดการส่งออกแร่หายากของจีนที่ประกาศไปเมื่อต้นปี
16 มิถุนายน 2568 กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศขยายการเรียกเก็บภาษีเหล็กไปยังสินค้าที่เป็น “ผลิตภัณฑ์อนุพันธ์” เพิ่มเติมทั่วโลก รวมถึงตู้เย็น เครื่องแช่แข็ง เครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า เครื่องล้างจาน เตาอบ และสินค้าอื่น ๆ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายนนี้
2 กรกฎาคม 2568 ทรัมป์ประกาศข้อตกลงเรื่องภาษีกับเวียดนามบน Truth Social โดยระบุว่าจะเรียกเก็บภาษี 20% สำหรับสินค้าทุกประเภทที่ส่งเข้ามา และภาษี 40% สำหรับสินค้าที่ส่งต่อ (Transshipping) แต่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางกฎหมายหรือกำหนดเวลาการปรับภาษีภายใต้ข้อตกลงนี้
7 กรกฎาคม 2568 ทรัมป์เลื่อนกำหนดเวลา 90 วันและประกาศอัตราภาษีใหม่สำหรับบางประเทศเกี่ยวกับภาษีที่เคยประกาศเมื่อ 2 เมษายน 2025 โดยทำเนียบขาวออกคำสั่งผู้บริหารและเอกสารข้อเท็จจริง ปรับกำหนดเวลาการบังคับใช้ภาษีจากเดิม 9 กรกฎาคมเป็น 1 สิงหาคม พร้อมระบุอัตราภาษีใหม่สำหรับบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
9 กรกฎาคม 2568 ทรัมป์ประกาศอัตราภาษีใหม่สำหรับประเทศเพิ่มเติมบน Truth Social โดยโพสต์ชุดจดหมายที่ส่งไปยังหลายประเทศเพื่อแจ้งอัปเดตอัตราภาษีที่จะบังคับใช้กับการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เริ่ม 1 สิงหาคม ตามการขยายเวลา 90 วันที่ประกาศเมื่อ 7 กรกฎาคม ประเทศที่เกี่ยวข้องได้แก่ แอลจีเรีย บรูไน อิรัก ลิเบีย มอลโดวา ฟิลิปปินส์ และศรีลังกา ขณะที่บราซิลได้รับแจ้งอัตราภาษี 50% พร้อมกล่าวว่า “วิธีที่บราซิลปฏิบัติต่ออดีตประธานาธิบดีโบลโซนารู ซึ่งเป็นผู้นำที่ได้รับการเคารพอย่างสูงทั่วโลก รวมถึงจากสหรัฐฯ ถือเป็นเรื่องน่าอับอายในระดับนานาชาติ”
15 กรกฏาคม 2568 รัฐบาลทรัมป์เปิดการสอบสวนการค้าผิดปกติกับบราซิล โดยสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ระบุว่าตามคำสั่งของประธานาธิบดี การสอบสวนครอบคลุมหลายประเด็น เช่น การค้าดิจิทัลและบริการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ การเรียกเก็บภาษีไม่เป็นธรรม การแทรกแซงต่อต้านคอร์รัปชัน การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การเข้าถึงตลาดเอทานอล และกฎระเบียบการตัดไม้ทำลายป่าอย่างผิดกฎหมายที่ไม่สมเหตุสมผลหรือเลือกปฏิบัติ ซึ่งเป็นภาระหรือจำกัดการค้าของสหรัฐฯ โดยการสอบสวนดำเนินภายใต้มาตรา 301 ของพระราชบัญญัติการค้าปี 1974
16 กรกฎาคม 2568 กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยื่นประกาศใน Federal Register ระบุว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเริ่มการสอบสวนเมื่อ 1 กรกฎาคม เพื่อตรวจสอบว่านำเข้านวัตกรรมอากาศยานไร้คนขับ (UAS) รวมถึงชิ้นส่วนและส่วนประกอบ และโพลีซิลิคอนพร้อมผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ อาจก่อภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติสหรัฐฯ ภายใต้มาตรา 232 ของพระราชบัญญัติการขยายการค้า (Trade Expansion Act) ปี 1962
22 กรกฎาคม 2568 ทรัมป์ประกาศผ่าน Truth Social ว่าสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงเรื่องอัตราภาษีกับฟิลิปปินส์และญี่ปุ่น โดยวันถัดมาทำเนียบขาวเผยแพร่เอกสารข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อตกลงด้านการค้าและการลงทุนเชิงกลยุทธ์กับญี่ปุ่น พร้อมประกาศกรอบการเจรจาข้อตกลงการค้ากับอินโดนีเซีย ซึ่งสหรัฐฯ จะปรับอัตราภาษีจาก 32% เป็น 19% และอินโดนีเซียจะยกเลิกอุปสรรคด้านภาษีประมาณ 99% สำหรับผู้ส่งออกสหรัฐฯ แต่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดทางกฎหมายหรือกำหนดเวลาปรับภาษีอย่างเป็นทางการ
27 กรกฎาคม 2568 ประธานาธิบดีทรัมป์และประธานคณะกรรมาธิการยุโรป อูร์ซูลา ฟอน เดอร์ เลเยน พบกันที่สกอตแลนด์และประกาศข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ–สหภาพยุโรป กำหนดอัตราภาษีนำเข้าพื้นฐาน 15% สำหรับสินค้าจากสหภาพยุโรป รวมถึงรถยนต์ ขณะที่วันต่อมาทำเนียบขาวและคณะกรรมาธิการยุโรปเผยแพร่เอกสารสรุปรายละเอียดข้อตกลง แต่ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดทางกฎหมายหรือกำหนดเวลาปรับภาษีอย่างเป็นทางการ
30 กรกฎาคม 2568 ทรัมป์ประกาศข้อตกลงภาษีกับเกาหลีใต้บน Truth Social ระบุอัตราภาษี 15% สำหรับสินค้าที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ แต่ยังไม่มีรายละเอียดทางกฎหมายหรือกำหนดเวลาการปรับภาษี ขณะเดียวกัน ทำเนียบขาวประกาศภาษีนำเข้าทองแดง 50% ภายใต้มาตรา 232 ของพระราชบัญญัติการขยายการค้า ปี 1962 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2025 และออกคำสั่งผู้บริหารระงับการยกเว้นภาษีสินค้าขนาดเล็ก (de minimis) สำหรับทุกประเทศ นอกจากนี้ ทำเนียบขาวประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติใหม่ ใช้อำนาจตาม IEEPA กำหนดอัตราภาษีเพิ่มเติม 40% กับบราซิล มีผลบังคับใช้หลัง 7 วัน พร้อมมาตรการคว่ำบาตรต่อผู้พิพากษาศาลสูงสุดบราซิล Alexandre de Moraes และอดีตประธานาธิบดี Jair Bolsonaro ในกรณี “การดำเนินคดีเชิงการเมือง”
31 กรกฎาคม 2568 ทำเนียบขาวปรับ “อัตราภาษีแบบตอบแทนซึ่งกันและกัน” สำหรับเกือบทุกประเทศภายใต้มาตรการ IEEPA ที่ประกาศเมื่อ 2 เมษายน 2025 ขยายเวลา 90 วันเมื่อ 9 เมษายน และขยายเวลาเพิ่มเติมเมื่อ 7 กรกฎาคม โดยออกคำสั่งผู้บริหารและเอกสารข้อเท็จจริงเพื่อปรับอัตราภาษีสำหรับประเทศที่สหรัฐฯ มีหรือยังไม่มีข้อตกลงทวิภาคี การปรับอัตราภาษีมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 7 สิงหาคม ขณะเดียวกัน ภาษีนำเข้าสินค้าจากแคนาดาสำหรับสินค้าที่ไม่ปฏิบัติตามกฎแหล่งกำเนิด USMCA ถูกปรับเพิ่มเป็น 35% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2025
ตอนที่ 5 การปรับอัตราภาษีและขยายมาตรการเพิ่มเติม (สิงหาคม – กันยายน 2025)

6 สิงหาคม 2568 ทำเนียบขาวออกคำสั่งฝ่ายบริหารและเอกสารข้อเท็จจริง กำหนดภาษีศุลกากรเพิ่มเติม 25% ต่ออินเดียสำหรับการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย เริ่มใช้วันที่ 27 สิงหาคม โดยไม่ครอบคลุมสินค้าที่ได้รับการยกเว้นตามคำสั่งฝ่ายบริหารลงวันที่ 2 เมษายนและฉบับแก้ไข
11 สิงหาคม 2568 ทรัมป์ขยายเวลาระงับภาษีนำเข้าจากจีนออกไปอีก 90 วัน ทำเนียบขาวออกคำสั่งฝ่ายบริหารขยายเวลาการระงับภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มเติมที่รัฐบาลประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน ออกไปจนถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 (เดิมกำหนดสิ้นสุดการระงับภาษีนำเข้าในวันที่ 12 สิงหาคม)
15 สิงหาคม 2568 กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ประกาศขยายอัตราภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมครอบคลุมสินค้า “อนุพันธ์” อีก 407 รายการ รวมถึงกระป๋องสเปรย์เปล่าและกระป๋องสเปรย์บรรจุ เช่น วิปครีมสเปรย์ สเปรย์ Cheez Wiz สีสเปรย์ และยาแนว มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 18 สิงหาคม
21 สิงหาคม 2568 เผยแพร่รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ทำเนียบขาวและคณะกรรมาธิการยุโรปออกแถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับกรอบข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปว่าด้วยการค้าต่างตอบแทนที่เป็นธรรมและสมดุล
29 สิงหาคม 2568 แคนาดายกเลิกภาษีตอบโต้บางส่วนและคงภาษีบางส่วนตามแถลงการณ์นายกรัฐมนตรีเมื่อ 22 สิงหาคม โดยเผยแพร่ประกาศศุลกากรแก้ไขภาษีตอบโต้สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ที่บังคับใช้เดือนเมษายน 2568 มีผลตั้งแต่ 1 กันยายน ขณะเดียวกัน แคนาดายังเผยรายชื่อสินค้านำเข้าที่ยังถูกเรียกเก็บภาษีตอบโต้ รวมถึงเหล็ก อลูมิเนียม และรถยนต์สหรัฐฯ
4 กันยายน 2568 เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น ทำเนียบขาวออกคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อชี้แจงรายละเอียดต่างๆ ของข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่น ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ซึ่งรวมถึงการกำหนดอัตราภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์จากญี่ปุ่นที่ 15 เปอร์เซ็นต์ โดยจะมีผลบังคับใช้ภายใน 7 วัน
สงครามการค้าและภาษีทรัมป์ (Trump’s Tariff) ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน มาตรการ ภาษีนำเข้าสหรัฐล่าสุด ไม่ได้กระทบแค่ประเทศคู่ค้ารายใหญ่เท่านั้น แต่ยังส่งแรงสั่นสะเทือนถึง ธุรกิจส่งออกไทย ที่ต้องเร่งปรับตัวและหากลยุทธ์ใหม่เพื่อรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขัน
สำหรับผู้ประกอบการไทย การติดตามไทม์ไลน์และมาตรการทางการค้า เพียงอย่างเดียวอาจไม่พอ แต่ควรเสริมด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลงบการเงินและข้อมูลธุรกิจของคู่ค้า เพื่อเข้าใจศักยภาพ ความเสี่ยง และโอกาสทางการตลาดอย่างรอบคอบ การมองเห็นข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้จะช่วยให้คุณไหวตัวทัน ปรับกลยุทธ์ได้ทันท่วงที และลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
เริ่มต้นวางแผนธุรกิจอย่างมั่นใจ ด้วยการเข้าถึงข้อมูลธุรกิจที่เชื่อถือได้ เพื่อตัดสินใจอย่างชาญฉลาด ทดลองใช้ Corpus X ฟรี วันนี้